CIO’s Talk ตอน “จับตาการลงทุนในครึ่งปีหลัง”

28 มิถุนายน 2561

สวัสดีครับท่านผู้ถือลงทุน เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ณ เวลานี้เราได้มาถึงเดือนมิถุนายน และกำลังจะเข้าสู่ครึ่งปีหลังของปี 2018 ต้องยอมรับว่าสถานการณ์การลงทุนในปีนี้โดยเฉพาะในช่วง 5 - 6 เดือนแรกนั้นค่อนข้างผันผวน winners หรือตลาดที่จะ perform ได้ดี โดยเฉพาะในส่วนของสินทรัพย์เสี่ยงก็คงจะเป็นตลาดสหรัฐฯ และสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงน้ำมันที่ได้มีการปรับตัวสูงขึ้นจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความอุปสงค์ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งการเกิดขึ้นของธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างชัดเจนในสหรัฐฯ นั้น หุ้นขนาดเล็กหรือหุ้นที่อยู่นอกดัชนี S&P500 สามารถที่จะ perform ได้ดีกว่า

หุ้นที่มี Market Cap ขนาดเล็กอยู่ในดัชนี เช่น Russell 2000 หรือแม้กระทั่งหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่อยู่ในดัชนี Nasdaq นั้น outperform ตลาดโดยรวมได้อยู่ระหว่าง 3 - 6% ทีเดียว ในระยะเวลาสั้นๆ ถือว่ามีความหมายไม่น้อย และอาจเป็นการชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนปัจจัยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาวจากบริษัทใหญ่ๆ ในลักษณะเดิมมาสู่บริษัทขนาดย่อมที่มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลมากกว่า ส่วนตลาดหุ้นในย่านเอเชียหรือในประเทศเกิดใหม่ ดูเหมือนจะได้ผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวและมีการขึ้นดอกเบี้ยค่อนข้างสูงในเวลาอันรวดเร็ว ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงในประเทศตลาดเกิดใหม่ถูกผลกระทบในทางลบ และตลาด Emerging Market Equities โดยรวมก็ติดลบลงมา 3 - 4% หมายความว่าทิศทางในการขึ้นระหว่างตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา

สำหรับในเมืองไทยกลับมีปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างกลับข้างกัน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมามีการปรับเปลี่ยนน้อยมาก บวกลบอยู่ประมาณ 1% แต่ทว่าหุ้นที่อยู่นอก SET100 ไม่ว่าจะเป็น sSET หรือ MAI กลับปรับตัวลดลงมากถึง 14 - 15% ภายในระยะเวลา 5 - 6 เดือน การปรับตัวลงค่อนข้างมากอันนี้ นัยยะหนึ่งคงสะท้อนปัจจัยพื้นฐานในหลายๆ บริษัทเล็กในบ้านเรา ซึ่งมีระดับราคาที่ค่อนข้างสูงกว่า fundamentals หรือในทางกลับกัน การคาดหวังในเรื่องของการเติบโตเพื่อที่จะประกอบให้ราคานั้นสามารถยืนอยู่ได้ กลับมีความผิดหวังในเรื่องของผลประกอบการในช่วง 1 - 2 ไตรมาสที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม นักลงทุนคงต้องมองหา discount หรือ margin of safety คือ ซื้อสินทรัพย์เมื่อราคาตกต่ำ หากมองเข้าไปและสามารถมีการวิเคราะห์แจกแจงบริษัทที่ดีมีกำไร มีมูลค่า Market Cap ที่ไม่แพงจนเกินไป ก็น่าจะเป็นโอกาสในการกลับมามองหุ้นที่อยู่นอกเหนือ 50 ตัวแรกของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเช่นกัน

ระดับ valuation หากมองไปในปี 2018 - 2019 ก็จะพบว่ามีความคล้ายคลึงเข้าสู่ระดับ PER ที่ประมาณ 16 - 17 เท่า ดังนี้ key ในการลงทุนในหุ้น small cap ที่มีการตกลงมา 15% แบบนี้คงต้องอาศัยนักวิเคราะห์หรือ Fund Manager ที่มีฝีมือในการคัดเลือกหุ้นดีราคาถูกเข้าสู่ portfolio ของตัวเอง สำหรับหุ้นตัวเล็กนั้น ผมก็คงต้องแนะนำว่ากองทุนอย่างเช่น กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นทุน Mid/Small Cap (SCBMSE ) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Machine Learning Thai Equity (SCBMLT) โดยในกองทุนแรกนั้นลงทุนในหุ้นที่มี Market Cap อยู่ระดับต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทโดยประมาณ และส่วนกองทุน SCBMLT นั้นก็ลงทุนหลากหลายอยู่ใน SET100 ซึ่งก็ครอบคลุมหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กได้ในระดับหนึ่ง ทั้ง 2 กองทุนนี้จึงมีความน่าสนใจหากเราเชื่อว่าตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง earnings ของบริษัทที่ผิดหวังไปแล้วนั้นจะกลับมาเป็นบวกหรือทำให้นักลงทุนพึงพอใจในผลกำไรในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า ซึ่งผมเชื่อว่าจะต้องมีบริษัทที่ดีแต่ยังราคาถูกอยู่ในปัจจุบัน

ลองดูนะครับ หุ้น small cap ในโลกนี้กำลัง boom แต่ต้องเลือกให้ถูกตัว ต้องเลือกให้ถูกกองทุน และถูก Fund Manager แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนด้วยนะครับ

พบกันใหม่เดือนหน้าครับ สวัสดีครับ

 

โดย  คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย
        กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน
        บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด