Money DIY 4.0 by SCBAM : บทเรียน Factor Investing ในปี 2020

29 มกราคม 2564

       หากมองทบทวนย้อนกลับไปในปี 2020 ที่เพิ่งผ่านมา จะเห็นได้ว่าเป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยและตลาดโลกผันผวนเป็นอย่างมากอันเนื่องมาจากปัจจัยความเสี่ยงต่างๆ ที่รุมเร้าตลอดทั้งปี ดังนั้น การจะวิเคราะห์สภาพความเป็นไปของตลาดเราอาจจะมองจากผลประกอบการของนักลงทุนแต่ละประเภทโดยใช้ผลตอบแทนการลงทุนของสิ่งที่เรียกว่า Factor Investing เป็นตัวแทนได้

       ในปัจจุบันกลยุทธ์การลงทุนนั้นมีหลากหลายรูปแบบ นักลงทุนบางรายใช้สัญญาณจากการวิเคราะห์ราคาหรือปริมาณการซื้อขายของหลักทรัพย์ (Technical Analysis) ในการเลือกซื้อหรือขายหลักทรัพย์นั้นๆ บางรายวิเคราะห์จากข้อมูลทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาศัยความรู้เชิงเศรษฐศาสตร์มหภาค หรืออีกกลยุทธ์หนึ่งที่นิยมกันมาก คือ การเลือกหลักทรัพย์โดยวิเคราะห์ข้อมูลงบการเงินของบริษัท ตัวอย่างเช่น นักลงทุนบางรายจะเลือกลงทุนบริษัทที่มีอัตราการการเติบโตของกำไรสุทธิสูงและมีราคาตลาดที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรือบางรายอาจเลือกลงทุนในบริษัทที่มีกระแสเงินสดมาก มีการเติบโตสูงและเป็นบริษัทขนาดเล็ก เป็นต้น ซึ่งการวิเคราะห์ข้อมูลงบการเงินแบบนี้ถูกนักลงทุนที่ใช้ข้อมูลเชิงปริมาณ (quantitative investment) มาพัฒนาต่อเป็นการลงทุนแบบ Factor Investing

       การลงทุนแบบ Factor Investing เป็นการนำข้อมูลงบการเงิน ข้อมูลด้านราคาของทุกๆ บริษัทที่อยู่ในขอบเขตการลงทุน เช่น บริษัทใน SET Index แล้วจำแนกหุ้นต่าง ๆ ออกเป็นหลากหลายสไตล์ เช่น กลุ่มหุ้นเน้นคุณค่า (Value) อาจวัดจากบริษัทที่มี Price to Book หรือ Price to Earning ต่ำ, กลุ่มหุ้นเน้นการเติบโต (Growth) อาจวัดจากอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ, กลุ่มหุ้นที่มีคุณภาพของสถานะทางการเงินที่ดี (Quality) อาจวัดจากกระแสเงินสดที่มากหรือ ROE สูง, กลุ่มหุ้นที่ผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ผ่านมา (Momentum), กลุ่มหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ (Low Volatility) ซึ่งวัดจากความผันผวนของหุ้น, กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ (Large Capitalization) และกลุ่มหุ้นขนาดเล็ก (Small Capitalization) เป็นต้น เมื่อทำการศึกษาการลงทุนแบบ Factor Investing ต่อไปจะทำให้เราทราบได้ว่า แต่ละ Factor หรือแต่ละสไตล์สามารถสร้างผลตอบแทนที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลาขึ้นอยู่กับสภาวะทางเศรษฐกิจ ซึ่งโดยปกติแล้วเราสามารถแบ่งสภาวะทางเศรษฐกิจได้เป็น 4 สภาวะด้วยกัน คือ สภาวะขยายตัว (Expansion) สภาวะชะลอตัว (Slowdown) สภาวะหดตัว (Recession) และสภาวะฟื้นตัว (Recovery)

 

       

       เมื่อทำการวิจัยเราพบว่า ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว (Expansion) SET Index ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อเดือนที่ 2.66% ในขณะที่ Value, Growth และ Momentum ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากกว่า 3% ต่อเดือน ซึ่งมากกว่าสไตล์การลงทุนอื่นๆ ส่วนสภาวะชะลอตัว (Slowdown) SET Index ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อเดือนที่ 0.91% ในขณะที่ Quality, Growth และ Momentum ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 1.2% ถึง 1.4% ต่อเดือน

       เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ช่วงหดตัว (Recession) เป็นที่แน่นอนว่าตลาดหุ้นมักจะให้ผลตอบแทนที่เป็นลบ SET Index ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย -3.49% ต่อเดือน ซึ่ง Quality และ Low Volatility ให้ผลตอบแทนที่ติดลบน้อยกว่าตลาดซึ่งเฉลี่ยประมาณ -3.17%  ต่อเดือน และสุดท้ายเมื่อเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว (Recovery) SET index ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเดือนละ 1.67% แต่ Value และ Small Cap สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 4.65% และ 5.36% ต่อเดือน ตามลำดับ จากผลการวิจัยนี้สรุปได้ว่า Factor หรือสไตล์ในการลงทุนต่าง ๆ นั้นจะสร้างผลตอบแทนที่ดีและไม่ดีแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับสภาวะทางเศรษฐกิจ ดังนั้นถ้าเราสามารถพยากรณ์หรือคาดเดาเศรษฐกิจในอนาคตได้ เราก็จะสามารถเลือกสไตล์การลงทุนที่เหมาะสมได้ และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าตลาดได้   

       สำหรับตลาดหุ้นไทย ในปี 2020 ที่ผ่านมานี้ ต้องบอกว่าเป็นปีที่น่าสนใจและน่าเรียนรู้จากการลงทุน เนื่องจากมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทำให้สภาวะทางเศรษฐกิจได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจได้เข้าสู่สภาวะชะลอตัวและหดตัวสาเหตุจากโรคระบาด COVID-19 ในเดือนม.ค. ถึงปลายก.พ. เป็นช่วงที่เริ่มเกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งในช่วงเวลานี้เราจะเห็นได้ว่าหุ้นกลุ่ม Quality, Low Volatility และ Large Cap สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าสไตล์การลงทุนอื่น ๆ เนื่องจากบริษัทในกลุ่มนี้ส่วนมากจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีงบการเงินที่แข็งแรง มีกระแสเงินสดที่ดี จึงมีภูมิคุ้มกันที่สูงกว่าบริษัทอื่นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจไปในทางที่ไม่ดี และเมื่อเข้าสู่เดือนมี.ค. ซึ่งอาจบอกได้ว่าเศรษฐกิจน่าจะเข้าสู่ภาวะหดตัวอันเนื่องมาจากสถานการณ์จาก COVID-19 ที่แย่ลง SET Index ได้มีการปรับตัวลงอย่างรุนแรง เราจะเห็นได้ว่า หุ้นกลุ่ม Value และ Momentum มีผลการดำเนินงานที่ไม่ดีและสร้างผลตอบแทนติดลบมากกว่า SET Index โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Value ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นหุ้นในกลุ่มที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับราคาพื้นฐาน มีสถานะทางการเงินที่ไม่แข็งแรงนัก (Distressed Company) แต่ในทางตรงกันข้าม Quality ยังคงทำผลงานได้ดีกว่าสไตล์อื่น ๆ ต่อมาเมื่อเข้าสู่เดือนพ.ย. ข่าวความสำเร็จในการผลิตวัคซีน มีผลต่ออนาคตของสภาวะทางเศรษฐกิจโดยตรงเป็นอย่างมาก มีความหวังที่เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัว นักลงทุนกล้าที่จะลงทุนในบริษัทที่เสี่ยงมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องลงทุนในบริษัทที่มีความเสี่ยงต่ำ หุ้นกลุ่ม Value จึงกลับมาทำผลงานได้เป็นอย่างดี และในทางตรงกันข้าม Quality สร้างผลตอบแทนที่ต่ำกว่าสไตล์อื่นๆ

       ในส่วนของปี 2021 นี้ เรามองว่าประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะทำให้สามารถเปลี่ยนจากสภาวะการฟื้นตัวเป็นสภาวะการขยายตัวได้ โดยนักลงทุนสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น ดังนั้นหุ้นสไตล์ Value, Growth, Momentum และ Small Cap จึงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจและมีโอกาสที่อาจทำผลตอบแทนได้ดีในปีนี้

 

โดย คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย​
        ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร​
        บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด