มันนี่ ดีไอวาย 4.0 by SCBAM : แนวโน้มการลงทุนในยุคดิจิทัล

14 มิถุนายน 2562

       ในยุคที่ดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการใช้ชีวิตประจำวันของเรานั้น แนวโน้มของอุตสาหกรรมการลงทุนกำลังถูกเปลี่ยนไปในทิศทางใหม่จากปัจจัยรอบด้านที่สำคัญ เช่น ความรู้ความเข้าใจของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ที่หลากหลายและน่าสนใจ อย่างเช่นการลงทุนในกองทุน Smart Beta และ Thematic Fund ที่มีการลงทุนโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ผลงานวิจัยที่มีความหลากหลายและสามารถเข้าถึงได้ง่ายก็ยังมีส่วนช่วยให้แนวโน้มการลงทุนเปลี่ยนไปด้วย

       ตัวอย่างของผลงานวิจัยฉบับหนึ่งบ่งชี้ว่าในระยะยาว กองทุนเชิงรุก (Active Fund) มีผลตอบแทนส่วนเกินหลังจากหักค่าใช้จ่ายไม่ได้แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากกองทุนเชิงรับ (Passive Fund) ผลงานวิจัยนี้ได้ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในกองทุนเชิงรับมากขึ้นกว่าในอดีตอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ผลงานวิจัยที่เผยแพร่ออกสู่สาธารณะทำให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมการลงทุนเพิ่มมากขึ้น กล่าวคือ นักลงทุนมีความรู้ และได้รับข่าวสารที่มีประสิทธิภาพอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีผลทำให้ค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการกองทุนในแต่ละกลุ่ม แต่ละผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มที่จะลดลง และทำให้รูปแบบการลงทุนเปลี่ยนไป นอกเหนือจากที่กล่าวมา แนวโน้มของอุตสาหกรรมการลงทุนที่กำลังเปลี่ยนแปลงยังเกิดจากการใช้ประโยชน์จาก Big Data รวมทั้งนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ อีกด้วย

       การลงทุนแบบ Factor Investing หรือที่นิยมเรียนกันว่า Smart Beta นั้นถือเป็นนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์การลงทุนอย่างแท้จริง เนื่องจากถูกออกแบบมาให้มี exposures ตามปัจจัยหลักๆ ของปรัชญาการลงทุนแบบ active management โดยกองทุนประเภทนี้มักจะออกมาเป็นชุด เช่น Size (ลงทุนในกลุ่มหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก) Value (ลงทุนในหุ้นที่มีราคาตำกว่ามูลค่าพื้นฐาน) Momentum (ลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีผลตอบแทนดีในช่วงที่ผ่านมา) และ Quality (ลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีคุณภาพของสถานะทางการเงินที่ดี) โดยนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในปัจจัยต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามวัฏจักรและสภาวะทางเศรษฐกิจ โดยมีสูตร โครงสร้าง ปัจจัย หรือวิธีการลงทุนที่ตายตัว เรียกว่า rules-based นอกจากนี้กองทุนในกลุ่ม smart beta ยังมีความโปร่งใสและตรงไปตรงมาในการลงทุน ทั้งยังมีค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการใกล้เคียงกับกองทุนประเภท Passive Management กองทุนจำพวกนี้จึงมีการเติบโตอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดจำนวนเงินที่ลงทุนในผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ในสหรัฐฯ มีจำนวนเกิน 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ แล้วในปี 2017 ยิ่งไปกว่านั้นการลงทุนแบบ Factor Investing ยังทำให้เราสามารถนำประโยชน์จากการใช้งาน Big Data และ Artificial Intelligence มาผสมผสานและสะท้อนออกมาในรูปแบบการลงทุนแบบ Factor Rotating ซึ่งคอยสลับผลัดเปลี่ยนการเลือก Factor โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเอาชนะตลาดตามช่วงเวลาต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบ (Systematic)

 

 

       หากย้อนกลับไปในอดีตในช่วง 20 - 30 ปีที่ผ่านมานั้น การเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของบริษัทในตลาดหุ้น เช่น price-to-book ratios ถือเป็นข้อได้เปรียบในการลงทุนและเป็นข้อมูลที่มีคุณค่ามาก แต่ในปัจจุบันนักลงทุนทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ข้อได้เปรียบจำพวกนี้จึงมีความสำคัญลดลง ดังนั้นการลงทุนให้ประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบันจึงต้องอาศัยข้อมูลอื่น เช่น ข้อมูลที่ประมวลผลจากข้อความในข่าว, บทวิเคราะห์หุ้น, social media, ข้อมูลจากการค้นหาในอินเทอร์เน็ต ตลอดจนถึงข้อมูลจากภาพถ่ายและวิดีโอต่างๆ แต่ทว่ามนุษย์ไม่สามารถรับรู้แล้วพิจารณาข้อมูลเหล่านี้พร้อมๆ กันได้อย่างครอบคลุม ข้อได้เปรียบจากข้อมูลเหล่านี้จึงต้องอาศัยการประยุกต์ใช้ความรู้ในเชิง Machine learning และ Artificial Intelligence เข้ามาช่วยเพื่อหาความสัมพันธ์และเปลี่ยนจากข้อมูลมาเป็นข้อได้เปรียบในการลงทุน

       ทั้งนี้ Factor Investing ยังทำให้เราสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุน ดังเช่นการลงทุนที่สร้างผลกระทบที่ดีต่อสังคม การลงทุนในบริษัทที่มีธรรมมาภิบาลที่ดี หรือการลงทุนที่ไม่เลือกลงในกลุ่มยาสูบ อาวุธและเครื่องดื่มมึนเมา เป็นต้น ซึ่งเป็นที่มาของการลงทุนแบบ ESG (Environmental, Social and Governance) ซึ่งเป็นการลงทุนในบริษัทที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน กองทุนประเภทนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา โดยในปี 2016 จำนวนเงินที่ลงทุนในผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีมากกว่า 23 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในยุโรป และสหรัฐฯ

       สำหรับนักลงทุนอย่างเราแล้ว ข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนถือว่าเป็นหัวใจสำคัญมิควรมองข้าม เพื่อประโยชน์ต่อการลงทุนของเราเองนะครับ

 

โดย คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย​
        ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร​
        บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด