ช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ กลุ่มหุ้นเล็กสหรัฐฯ มีช่วงเวลาที่ยากลำบากและให้ผลตอบแทนแพ้กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่สหรัฐฯ อย่างชัดเจน จากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นกดดันต้นทุนทางการเงินโดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็กที่มีสถานะการเงินที่อ่อนแอกว่าบริษัทขนาดใหญ่ แต่เราประเมินว่า จุดเปลี่ยนสำคัญได้เกิดขึ้นแล้ว หลังจาก Fed เริ่มลดดอกเบี้ยครั้งแรกเมื่อเดือน ก.ย. ด้วยอัตรา 50 bps และยังมีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยต่อในปีนี้และปีหน้า ช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินโดยเฉพาะในส่วนของดอกเบี้ยลอยตัว รวมถึง การกู้ใหม่เพื่อทดแทนเงินกู้เดิมหรือสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวแต่ไม่ถดถอย จะช่วยหนุนกลุ่มบริษัทขนาดเล็กซึ่งมีรายได้ภายในประเทศเป็นหลัก ยังมีรายได้ที่เติบโตดีต่อไป นอกจากนี้ สถิติหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ และสถิติเชิงฤดูกาลในอดีต บ่งชี้ถึงการปรับตัวขึ้นของกลุ่มหุ้นเล็กสหรัฐฯ เช่นกัน ดังนั้นเรามองว่า หุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ มีความน่าสนใจ โดยมีกองทุนแนะนำ ได้แก่ SCBRS2000 และ SCBUSSM
หุ้นขนาดเล็กสหรัฐฯ ค่อนข้าง Laggard เมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา หุ้นขนาดเล็กสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนแพ้กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่สหรัฐฯ อย่างชัดเจน เมื่อพิจารณาจาก Price Ratio จะพบว่า ดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มหุ้นเล็ก Laggard ดัชนี S&P500 ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่สหรัฐฯ มากที่สุดในรอบ 10 ปี (Fig.1) จากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นที่เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นปี 2022 ซึ่ง Fed ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วและแรงมากที่สุดในรอบหลายสิบปีเพื่อความคุมเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูง กดดันต่อกลุ่มหุ้นขนาดเล็กสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วนบริษัทที่ยังไม่มีกำไร ค่อนข้างมากราว 41% และมีต้นทุนทางการเงินอ่อนไหวไปกับแนวโน้มดอกเบี้ยมากกว่าบริษัทขนาดใหญ่ ส่งผลกระทบต่อกำไรบริษัทโดยรวมหดตัวลงช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา (Fig.2 & 3)
เจาะจุดเปลี่ยนหุ้นเล็ก ลุ้นฟื้นตัวต่อใน 4Q24
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มหุ้นขนาดเล็กสหรัฐฯ มากขึ้น คาดว่ามีโอกาสปรับตัวขึ้นเด่นในช่วง 4Q24 เนื่องจากจุดเปลี่ยนสำคัญ ดังต่อไปนี้
1. วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง ช่วยลดต้นทุนการเงิน: Fed มีมติเริ่มลดดอกเบี้ยครั้งแรกด้วยอัตรา 50bps ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. และเปิดเผย Dot Plot ใหม่ซึ่งเป็นการคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการ พบว่า มีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยต่อทั้งในปีนี้และปีหน้า จากแนวโน้มเงินเฟ้อชะลอตัวลงเข้าสู่ระดับเป้าหมายของ Fed (Fig.4) และแนวโน้มตลาดแรงงานชะลอตัวลงเข้าสู่ระดับปกติ (Fig.5) ซึ่งจะส่งผลดีช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินโดยเฉพาะในส่วนของดอกเบี้ยลอยตัวซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 32% ในกลุ่มหุ้นขนาดเล็ก (ดัชนี Russell 2000) เมื่อเทียบกับกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ (ดัชนี S&P500) ที่มีสัดส่วนเพียง 7% เท่านั้น (Fig.6) และยังเป็นการช่วยลดต้นทุนสำหรับการ Roll Over หนี้สินที่กำลังครบกำหนดในปีถัดไปด้วย (Fig.7)
2. เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวดีปีนี้ แม้ชะลอลงปีหน้า: GDPNow โมเดลคาดการณ์ของ Fed Atlanta เมื่อวันที่ 8 ต.ค. คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ 3Q24 จะขยายตัวสูงถึงราว 3.2% QoQ (Fig.8) ขณะที่ Bloomberg Consensus และ Fed คาดการณ์การเติบโต -ของ GDP สหรัฐฯ ปีนี้ที่ระดับ 2.6% และ 2.0% YoY ตามลำดับ และคาดปีหน้าโตระดับ 1.8% และ 2.0% YoY ตามลำดับ (Fig.9) โดยภาคบริการและการบริโภคภายในประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ดังนั้น เราประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่มีความเสี่ยงที่จะถดถอยในระยะอันใกล้นี้ (Fig.10)
3. ความชัดเจน หลังจบการเลือกตั้งสหรัฐฯ: สถิติตั้งแต่ปี 1992 ในปีที่มีการเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐฯ และไม่เกิดเศรษฐกิจถดถอย พบว่า กลุ่มหุ้นขนาดเล็กมักปรับตัวขึ้นโดดเด่นกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวม ตั้งแต่ทราบผลการเลือกตั้งไปจนถึงระยะ 2 เดือนถัดมา (Fig.11) เพราะมีความชัดเจนทางการเมืองสหรัฐฯ นักลงทุนมักมีความคาดหวังต่อนโยบายเศรษฐกิจในระยะถัดไป เป็น Sentiment บวกต่อกลุ่มหุ้นขนาดเล็กสหรัฐฯ ที่ถูกมองว่าเป็นตัวแทนเศรษฐกิจภายในประเทศสหรัฐฯ ด้านคุณ Trump ผู้สมัครจากพรรค Republican แสดงจุดยืนชัดเจนในการพยายามดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้เติบโตต่อเนื่อง แม้อาจต้องแลกกับการกีดกันการค้าจากต่างประเทศบ้างก็ตาม ขณะที่คุณ Harris ผู้สมัครจากพรรค Democrat มีความพยายามในการขึ้นภาษีนิติบุคคล (Corporate Tax) ของสหรัฐฯ แต่การผลักดันนโยบายดังกล่าว พรรค Democrat จะต้องครองเสียงข้างมากให้ได้ทั้งสภาบนและสภาล่าง (Democratic Sweep) ซึ่งปัจจุบัน ความเป็นไปได้ของการเกิดกรณีดังกล่าว ยังไม่สูงมากนัก (Fig.12)
4. สถิติเชิงฤดูกาลหนุน: สถิติในอดีต 10 ปีหลังสุด พบว่า ในช่วงไตรมาส 4 ตลาดหุ้นโลกโดยรวม มักมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น และเป็นที่น่าสังเกตว่า ดัชนี Russell 2000 สามารถปรับตัวขึ้นได้มากถึง 9 จาก 10 ปีหลังสุด และมีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 6.5% โดดเด่นกว่าตลาดหุ้นหลายแห่งทั่วโลก (Fig.13 )
กลยุทธ์การลงทุนและกองทุนแนะนำ
• SCBRS2000: Feeder Fund ที่ลงทุนในกองทุนหลัก คือ iShares Russell 2000 ETF (Passive Fund) ซึ่งอ้างอิงการเคลื่อนไหวไปกับดัชนี Russell 2000 ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของหุ้นขนาดเล็กสหรัฐฯ ในเชิงกลยุทธ์ อาจพิจารณาเริ่มแบ่งไม้ทยอยสะสม หรือรอย่อ เมื่อดัชนี Russell 2000 แนวรับเส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 วันบริเวณ 2,170-2,175 จุด
• SCBUSSM: Feeder Fund ที่ลงทุนในกองทุนหลัก คือGranahan US Focused Growth UCITS ซึ่งเป็นกองทุน Active Fund ที่มีนโยบายคัดเลือกหุ้นแบบ High Conviction ในกลุ่มหุ้นขนาดเล็กสหรัฐฯ ที่มีโมเดลธุรกิจน่าสนใจ, ขนาดงบดุลแข็งแกร่งและสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ในเชิงกลยุทธ์ อาจพิจารณาการเคลื่อนไหวของ iShares Russell 2000 Growth ETF (ตัวย่อ IWO) ประกอบ โดยทยอยสะสมกองทุน SCBUSSM เมื่อ IWO ETF ย่อตัวลงมาใกล้แนวรับ บริเวณ $276
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน SSF และ RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และขอรับหนังสือชี้ชวน ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขา หรือ บลจ.ไทยพาณิชย์ โทร. 02-777-7777, www.scbam.com