Fund Finder ตอน การกลับมาของตราสารหนี้

16 มีนาคม 2566

         ปี 2565 เป็นปีที่ตราสารหนี้โลกให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในรอบ 30 ปี จากผลของการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง จนส่งผลให้อัตราผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ประเภทต่าง ๆ ขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบมากกว่า 10 ปี แต่ในปี 2566 เรามองว่า ตราสารหนี้มีโอกาสกลับมาฟื้นตัว และให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ เพราะเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดและมีแนวโน้มชะลอตัวลง ส่งผลให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มใกล้ถึงจุดสูงสุด ขณะที่เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง และยังคงมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระยะข้างหน้า การลงทุนในตราสารหนี้จะช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตการลงทุน รวมถึงโอกาสได้รับผลตอบแทนจากทั้งดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูงและการปรับขึ้นของราคาตราสารหนี้ หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ อัตราดอกเบี้ยนโยบายถูกปรับลดลง เราแนะนำให้ทยอยสะสม กองทุน SCBINC ซึ่งลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งภาครัฐและเอกชน

Fund Finder

มารู้จักกับตราสารหนี้...ก่อนเริ่มลงทุน

          ตราสารหนี้ (Bond หรือ Fixed Income) คือ ตราสารแสดงการกู้ยืมเงิน ซึ่งผู้ออกตราสารหนี้จะอยู่ในฐานะลูกหนี้ และผู้ซื้อตราสารหนี้จะอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

          1. ตราสารหนี้ภาครัฐ เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยหน่วยงานรัฐ เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ที่มักถูกมองว่า เป็นตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด เพราะมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk) ต่ำมาก จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนรับความเสี่ยงได้น้อย 

          2. ตราสารหนี้ภาคเอกชน คือ ตราสารหนี้ที่บริษัทเอกชนเป็นผู้ออก เพื่อนำเงินไปหมุนเวียนบริหารกิจการ ได้แก่ ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน และหุ้นกู้ เป็นต้น โดยผลตอบแทนของหุ้นกู้จะแตกต่างกันออกไปตามความเสี่ยงของแต่ละบริษัท ซึ่งขึ้นอยู่กับอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) โดยหุ้นกู้ของบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ AAA ถึง BBB- ตามการจัดอันดับของ S&P และ Fitch และ Aaa ถึง Baa3 ตามมาตรฐานของ Moody’s จะถูกจัดอยู่ในระดับที่เหมาะสำหรับการลงทุน (Investment Grade) ซึ่งให้ผลตอบแทนไม่สูงมาก ส่วนหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BB+ ลงมา ถึง D เป็นหุ้นกู้คุณภาพปานกลางถึงคุณภาพต่ำ จะถูกจัดอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับลงทุน (Non-Investment Grade) ซึ่งให้ผลตอบแทนสูง (High-Yield Bond)

          ดังนั้น การลงทุนในตราสารหนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอ โดยผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ประกอบด้วย

          1. อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ผู้ออกตราสารจะต้องจ่ายให้กับผู้ถือตราสาร ตามเวลาที่กำหนดตลอดอายุของตราสารหนี้

          2. กำไรหรือขาดทุนจากการขาย (Capital Gain/Loss) ถ้าผู้ลงทุนขายตราสารหนี้ก่อนครบกำหนดอายุ ก็มีโอกาสได้กำไรหรือขาดทุนจากการขายซึ่งขึ้นอยู่กับราคาตราสารหนี้ที่ซื้อขายกันในขณะนั้น โดยราคาตราสารหนี้จะมีความสัมพันธ์สวนทางกับอัตราดอกเบี้ยในตลาด เนื่องจาก ตราสารหนี้กำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือคูปองที่จะจ่ายไว้ล่วงหน้าตลอดอายุการลงทุน ดังนั้น ถ้าอัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น ราคาของตราสารหนี้จะต่ำลง เนื่องจากถูกขาย เพื่อไปซื้อตราสารหนี้ตัวใหม่ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ในทางกลับกัน ถ้าอัตราดอกเบี้ยในตลาดต่ำลง ราคาของตราสารหนี้ก็จะสูงขึ้น เช่นกัน

ปี 2565 … ฝันร้ายของตลาดตราสารหนี้?

          ปี 2565 เป็นปีที่เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ ตลอดจนสินค้าโภคภัณฑ์หลายประเภทปรับตัวขึ้นสูง ประกอบกับเกิดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain disruption) จากประเทศจีนที่มีการปิดเมืองเพื่อควบคุมโควิด ทำให้เงินเฟ้อในหลายประเทศปรับตัวสูงขึ้นกว่าเป้าหมาย จนธนาคารกลางจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้น เป็นสาเหตุให้สินทรัพย์หลายประเภทให้ผลตอบแทนติดลบ แม้กระทั่งตลาดตราสารหนี้โลก (Global Aggregate Bond hedged USD) ก็ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในรอบ 30 ปี (Fig.1) จากระดับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นถึง 4.25% ในปี 2565 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่เร็วและแรงรอบหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยเป็นรองเพียงปี 1980 เท่านั้น (Fig.2) การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่รวดเร็ว ได้สร้างความผันผวนต่อการลงทุนในตราสารหนี้ เพราะตราสารหนี้ที่ออกใหม่จะให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ดังนั้น ตราสารหนี้เดิมที่ซื้อขายอยู่ในตลาดและมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า ราคาจะปรับตัวลงเพื่อให้ผลตอบแทนจูงใจนักลงทุน (Yield เพิ่มขึ้น) นั่นทำให้เกิดผลขาดทุนแก่ผู้ถือตราสารหนี้ เนื่องจากการปรับมูลค่าตามราคาตลาด (Mark-to-market)

Fund Finder

ปี 2566 … ได้เวลาตราสารหนี้กลับมาฟื้นตัว

          ในปี 2566 เรามองว่า เป็นโอกาสในการกลับเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ ในช่วงเวลาที่ได้ผลตอบแทนเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับที่อยู่ระดับต่ำในหลายปีที่ผ่านมา แม้ Bond Yield ในปี 2566 อาจมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่น่าจะไม่ได้ขึ้นรุนแรงจนทำให้มีผลขาดทุนจากการ Mark-to-market มากเหมือนเมื่อปีก่อน โดยเรามองปัจจัยหนุนดังต่อไปนี้

          •  Yield ของพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ประเภทต่าง ๆ ปรับขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี (Fig.3) สะท้อนแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยปีนี้ไปมากพอสมควรแล้ว และแม้ว่า ทิศทางดอกเบี้ยปีนี้ยังเป็นขาขึ้น แต่อัตราการขึ้นในปีนี้น่าจะน้อยกว่าปีก่อน ประกอบกับสถิติในอดีตบ่งชี้ว่า กลุ่มตราสารหนี้มักจะให้ผลตอบแทนสูงขึ้นอย่างชัดเจน หลังจาก Bond Yield สหรัฐฯ อายุ 2 ปี ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วเป็นระยะเวลา 1 ปี  (ตราสารหนี้โลก, ตราสารหนี้สหรัฐฯ และตราสารหนี้กลุ่มตลาดเกิดใหม่ ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 6.9%, 8.0% และ10.4% ตามลำดับ) (Fig.4) โดยเมื่อต้นเดือน มี.ค.2566 US Bond Yield 2 ปี ขึ้นถึงระดับ 5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 15 ปี นั่นคือ ราคาตราสารหนี้ลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจเข้าสะสมแล้ว เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนทั้งจากดอกเบี้ยที่สูง และส่วนต่างของราคา ด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่าหุ้น

          •  การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed เริ่มใกล้ถึงจุดสูงสุดของวัฏจักร หลังจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯได้ผ่านจุดสูงสุด และมีแนวโน้มชะลอลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การลงทุนในตราสารหนี้มีความผันผวนลดลง สอดคล้องกับข้อมูลในอดีต ที่กลุ่มตราสารหนี้ค่อนข้างทรงตัวก่อน Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย และให้ผลตอบแทนสูงขึ้นอย่างชัดเจนหลังการหยุดขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เป็นระยะเวลา 1 ปี  (ตราสารหนี้โลก, ตราสารหนี้สหรัฐฯ และตราสารหนี้กลุ่มตลาดเกิดใหม่ ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 8.3%, 9.4% และ14.8% ตามลำดับ) (Fig.5)

          •  กลุ่มตราสารหนี้มักให้ผลตอบแทนที่ดี เมื่อเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในปี 2566 แม้อัตราดอกเบี้ยในหลายประเทศจะมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลง แต่ยังคงเป็นขาขึ้นและอาจค้างอยู่ในระดับสูงตลอดทั้งปี และเมื่อรวมกับผลของเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง และมีความเสี่ยงเกิดเศรษฐกิจถดถอยในบางประเทศ โดยเราคาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยแบบไม่รุนแรง (Mild Recession) ซึ่งตามสถิติในอดีต หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ตลาดตราสารหนี้ทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชน มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นทั้งในช่วงก่อนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย 3-6 เดือน และระหว่างเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Fig.6) โดยตลาดตราสารหนี้จะให้ผลตอบแทนมากที่สุดในช่วงระหว่างเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้จึงมีความน่าสนใจมากขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง

          •  กระจายความเสี่ยง ในภาวะที่ตลาดหุ้นโลกมีความผันผวนเนื่องจากความกังวลต่อระบบการเงินของสหรัฐฯ จากกรณีปัญหาสภาพคล่องของธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ Flight to Safety หรือการโยกย้ายกระแสเงินทุนจากสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น มาสู่ สินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่าและความเสี่ยงน้อยกว่า เช่น ตราสารหนี้ นอกจากนี้ ความปั่นปวนในระบบการเงินสหรัฐฯ น่าจะมีผลให้ Fed ลดความเข้นข้นของการตึงตัวนโยบายการเงิน และอัตราดอกเบี้ยปลายทางหรือ Terminal Rate ของสหรัฐฯ มีโอกาสต่ำกว่าที่ตลาดเคยประเมินไว้ ถือว่า เป็นบวกต่อตราสารหนี้

Fund Finder

กองทุนแนะนำ: กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ อินคัม (SCBINC)

         เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ จากแนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นที่ใกล้ถึงจุดสูงสุด รวมทั้งเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง และยังคงมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระยะข้างหน้า ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีการลงทุนทั้งในพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้เอกชน จะช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตการลงทุน รวมทั้งได้รับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง และกำไรจากส่วนต่างราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ถ้าเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ อัตราดอกเบี้ยถูกปรับลดลงในระยะข้างหน้า

         แนะนำ “เข้าทยอยสะสม” กองทุน SCBINC หรือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ อินคัม ซึ่งมีความน่าสนใจ ดังนี้

         •  กองทุน Feeder Fund ที่มีกองทุนหลัก (Master Fund)  คือ PIMCO GIS Income Fund ซึ่งถือว่าเป็น Active Fund ที่สามารถคัดเลือกตราสารหนี้ประเภทต่างๆ ที่สามารถเอาชนะดัชนีอ้างอิงได้ในระยะยาว (Fig.9) ด้วยทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ลงทุนยาวนานมากกว่า 10 ปี

         •  นโยบายการลงทุน  กองทุนมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างกระแสรายได้ในระดับสูง โดยการบริหารการลงทุนอย่างรอบคอบ, มีความยืดหยุ่น, เน้นการบริหารความเสี่ยง และจำกัดความเสี่ยงขาลง เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ รวมทั้งพยายามให้เงินต้นเติบโตได้ในระยะยาว โดยจะกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้ประเภทต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Non-Investment Grade) รวมทั้งตราสารที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ (mortgage-related security) และ Asset-Backed Securities อื่น ๆ

         •  สัดส่วนการลงทุน  เน้นกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูง ได้แก่ หุ้นกู้ที่มีกระแสเงินสดหนุนหลัง (Securitized Credit) 27%, หุ้นกู้เอกชน (Corporate Credit) 22%, ตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน (Agency MBS) 21% และตราสารหนี้ภาครัฐ 13% (Fig.7) รวมทั้งการลงทุนในหุ้นกู้เอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AAA อยู่สูงถึง 53% (Fig.8) ส่งผลให้กองทุนมีอัตราผลตอบแทนเมื่อถือจนครบอายุโดยประมาณ (Estimated Yield to Maturity) สูงถึง 6.56% และมีอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่คงเหลืออยู่ในพอร์ตการลงทุน (Effective Duration) 3.31 ปี

Fund Finder

          ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และขอรับหนังสือชี้ชวน ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขา หรือ บลจ.ไทยพาณิชย์ โทร. 02-777-7777  www.scbam.com