Fund Finder ตอน Top Picks 2022 กองทุน SSF/RMF จาก SCBAM

15 ธันวาคม 2565

         Fund Finder ฉบับนี้ เราจะมาแนะนำกองทุนลดหย่อนภาษี SSF/RMF ที่น่าสนใจ โดยแบ่งตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ของนักลงทุน หากเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำหรือปานกลาง เราแนะนำกองทุนในกลุ่มตราสารหนี้ทั้งไทยและต่างประเทศ ด้วยระดับดอกเบี้ยในปัจจุบันที่ค่อนข้างสูงในรอบ 10 ปีและราคามีความผันผวนไม่สูงมากนัก ส่วนกองทุนประเภทหุ้น เรามีมุมมองเชิงบวกระยะยาวต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ และจีนจากความเป็นมหาอำนาจของโลกทั้งในแง่ขนาดเศรษฐกิจและความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามซึ่งกำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงยังมีโอกาสในการเติบโตสูงแม้มีปัจจัยรุมเร้าระยะสั้น นับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนระยะยาว ส่วนการลงทุนหุ้นแบบ Thematic เราชอบหุ้นกลุ่ม Global Healthcare และ Clean Energy & EV ที่มีแนวโน้มการเติบโตระยะยาวที่น่าสนใจ

Fund Finder

ทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างต่ำ

          สำหรับนักลงทุนที่รับความผันผวนต่ำ ต้องการเพียงสิทธิประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีเป็นหลัก สำหรับกองทุน RMF เราแนะนำ กองทุน SCBRM1 ซึ่งเน้นการลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารหนี้ระยะสั้นของภาครัฐและบริษัทที่มีความมั่นคงและพื้นฐานดีและ/หรือเงินฝากระยะสั้นเพื่อสภาพคล่องซึ่งกำหนดอายุถัวเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักของกระแสเงินที่ได้รับจากทรัพย์สินของกองทุนรวมไม่เกิน 1 ปี ทั้งนี้ ยามที่เราเห็นสถานการณ์ตลาดไม่สู้ดี กองทุนดังกล่าวยังสามารถใช้เป็นที่พักเงินสำหรับการสับเปลี่ยนจากกองทุน RMF อื่นที่มีความผันผวนสูงกว่าได้อีกด้วย สำหรับกองทุน SSF เราแนะนำ กองทุน SCBGSIF-SSF ที่มีนโยบายลงทุนผ่าน Feeder fund ไปกองทุนต่างประเทศ PIMCO Global Investment Grade Credit ซึ่งกองทุนหลักมีนโยบายลงทุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ของสินทรัพย์ทั้งหมดในตราสารหนี้ภาคเอกชนทั่วโลกที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ แม้กองทุนดังกล่าวจะมีความผันผวนสูงกว่ากองทุน SCBRM1 แต่ด้วยเงื่อนไขระยะเวลาลงทุนของกอง SSF ที่ 10 ปีเท่ากันหมดไม่ว่าผู้ลงทุนจะมีอายุเท่าไหร่ก็ตาม ทำให้กองทุนดังกล่าวเหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ-ปานกลางที่ต้องการลงกองทุน SSF นอกจากนี้ด้วยระดับอัตราดอกเบี้ยทั้งกลุ่มพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนคุณภาพสูงที่อยู่ระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี ทำให้น่าสนใจลงทุนระยะยาว (Fig.1)

Fund Finder

Top Picks สำหรับนักลงทุนที่รับความผันผวนสูง

          สำหรับนักลงทุนที่รับความผันผวนได้สูง กองทุนหุ้นรายประเทศที่ทางเราแนะนำมีด้วยกัน 3 ตลาดที่โดดเด่นและน่าสนใจลงทุนระยะยาวได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ, ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นเวียดนาม  

          ตลาดหุ้นสหรัฐฯ: กองทุน SSF แนะนำ ได้แก่  SCBS&P500(SSFA), SCBNDQ(SSF), SCBRS2000(SSF) และกองทุน RMF แนะนำ คือ SCBRMS&P500, SCBRMNDQ(A)

          ถึงแม้ว่าระยะ 3-6 เดือนข้างหน้าจะยังมีความเสี่ยงขาลงจากประมาณการกำไรที่อาจถูกปรับลงและความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ก็ตาม แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงน่าสนใจลงทุนระยะยาวจากปัจจัยสนับสนุนดังต่อไปนี้

          • สหรัฐฯ ยังอยู่ในสถานะผู้นำของโลก (Global Leader):  แม้ภาพความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ในด้านการเมืองและเศรษฐกิจของโลก กำลังถูกท้าทายจากมหาอำนาจใหม่อย่างจีนในช่วงหลายปีหลัง แต่สหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นประเทศชั้นนำที่น่าสนใจลงทุนระยะยาว จากองค์ประกอบสำคัญ เช่น ความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับสูงที่หาประเทศอื่นเทียบเคียงได้ยาก เนื่องจากค่านิยมและวัฒนธรรมที่ส่งเสริมความเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur), ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ประกอบกับระบบตลาดเสรีทุนนิยมที่มีกฎระเบียบชัดเจน (Rule of law) ช่วยดึงดูดทรัพยากรมนุษย์คุณภาพสูงทั่วโลกเข้ามาทำงานในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและเทคโนโลยี นอกจากนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีสถานะเป็นสกุลเงินหลักของโลก ยังช่วยส่งเสริมการค้าและระบบตลาดเงินตลาดทุนของสหรัฐฯ ให้มีความแข็งแกร่งและส่งผลให้การดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐฯ มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในเชิงเปรียบเทียบ

          • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถสร้างผลตอบแทนปรับด้วยความเสี่ยงในระดับสูง: จากสถิติในอดีต 20 ปีที่ผ่านมาพบว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งดัชนี Nasdaq (ที่มีสัดส่วนสูงในหุ้นกลุ่มTechnology และ Health Care) และดัชนี S&P500 (หุ้นที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ 500 ตัวแรกในตลาดสหรัฐฯ) สามารถสร้างผลตอบแทนเทียบความเสี่ยงในระดับสูงมากกว่าหลายประเทศทั่วโลก (Fig.2) ดังนั้น เราจึงควรมีสัดส่วนลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ สำหรับการลงทุนระยะยาวไม่มากก็น้อย

          • ระดับราคาที่ปรับตัวลงมาลึก มักสร้างผลตอบแทนที่ดีระยะยาว: จากปัจจัยลบที่เข้ามารุมเร้ากดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งดัชนี S&P500, Nasdaq และ Russell 2000 ต่างปรับตัวลงเข้าสู่ตลาดหมี (ปรับตัวลงมากกว่า -20% จากระดับสูงสุด) อย่างไรก็ตาม จากสถิติในอดีต พบว่า หากเราลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงสภาวะตลาดหมี จะมีโอกาสสูงที่จะคาดหวังผลตอบแทนที่ดีมากในระยะยาว (Fig. 3-5)

Fund Finder

ตลาดหุ้นจีน: กองทุน SSF แนะนำ ได้แก่ SCBASHARES(SSF) และ กองทุน RMF แนะนำ ได้แก่ SCBRMASHARES(A), SCBRMMLCA

ระยะสั้น ตลาดหุ้นจีนอาจมีความผันผวนบ้าง จากปัจจัยกดดันจากการเร่งตัวของจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19, การประท้วงจากประชาชนที่ไม่พอใจต่อนโยบาย Zero COVID Policy, ปัญหาหนี้สินในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน รวมไปถึง นโยบายรุ่งเรืองร่วมกัน (Common Prosperity) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมซึ่งอาจกระทบต่อรายได้และกำไรของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีน อย่างไรก็ตาม เราเริ่มเห็นพัฒนาการเชิงบวกของการคลายมาตรการควบคุมโรค COVID-19 ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2022 นอกจากนี้ ตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจระยะยาว ดังนี้

          • เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก: ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว จากปี 2000 ที่ขนาดเศรษฐกิจจีนคิดเป็น 3.6% ของ GDP โลก เป็น 17.8% ในปัจจุบัน ทำให้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลกแทนสหรัฐฯ ภายในปี 2030 (Fig.6) โดยได้ปัจจัยหนุนหลักจากการบริโภคภายในประเทศตามการเพิ่มขึ้นของคนชั้นกลางที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยมีการประเมินว่า สัดส่วนคนชั้นกลางจะเพิ่มขึ้นเป็น 72% ของประชากรทั้งหมด ภายในปี 2030

          • แผนกระตุ้นเศรษฐกิจมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ: ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจีนฉบับที่ 14 ที่มุ่งเน้นให้เศรษฐกิจจีนเติบโตแบบมีคุณภาพ โดยเน้นพึ่งพาตัวเองในด้านเทคโนโลยีมากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อลดการพึ่งพาประเทศฝั่งตะวันตก และส่งเสริมอุตสาหกรรมที่สร้างการเติบโตในอนาคต อาทิ อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด, ยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น ทั้งนี้ งบประมาณการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาต่อ GDP ของจีนเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากประมาณ 1.4% ในปี 2008 เป็นเกิน 2% ในปี 2015 เป็นต้นมา (Fig.7)

          • ระดับ Valuation อยู่ในระดับน่าสนใจลงทุนระยะยาว: จากระดับราคาของดัชนี MSCI China ที่ลดลงกว่า 63% จากจุดสูงสุดในช่วงต้นปี 2021 ถือว่า เป็นการปรับฐานที่แรงมาก เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของการปรับฐานในอดีตที่ราว 37% ทั้งนี้ จากสถิติ หลังจากตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงจนถึงจุดต่ำสุด ตลาดหุ้นมักจะฟื้นตัวขึ้นได้ดีตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป (Fig.8) ดังนั้น เรามองว่าการลงทุนตลาดหุ้นจีนที่ระดับราคาปัจจุบัน มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงในระยะ 5 ปี ขึ้นไป เนื่องจาก ระดับราคาที่ปรับตัวลงมาสะท้อนปัจจัยลบต่าง ๆ ไปค่อนข้างมากแล้ว และมูลค่า P/E Valuation อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว (Fig.9)

Fund Finder

ตลาดหุ้นเวียดนาม: กองทุน SSF แนะนำ คือ SCBVIET(SSFA) และกองทุน RMF แนะนำ คือ SCBRMVIET(A)

ตั้งแต่ต้นปี 2022 ตลาดหุ้นเวียดนามให้ผลตอบแทนติดลบราว 37% ถึงแม้ระยะสั้นตลาดหุ้นยังคงผันผวนสูงโดยได้รับปัจจัยกดดันจากแนวโน้มนโยบายการเงินตึงตัวของธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) ส่งผลต่อสภาพคล่องในระบบการเงินที่ลดลง, การปราบปรามการทุจริตและจัดระเบียบตลาดเงิน-ตลาดทุนที่เข้มงวดเพื่อเพิ่มความโปร่งใส ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว/ถดถอย จะกระทบต่อภาคการส่งออกของประเทศเวียดนามเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เรามองเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่สามารถรับความผันผวนได้จากปัจจัยสนับสนุนดังต่อไปนี้

          • เศรษฐกิจโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก และประเทศในกลุ่มอาเซียน-5:  IMF คาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2022-2023 ไว้สูงถึง 6-7% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอาเซียน-5 และของโลก (Fig.10) จากการบริโภคภายในประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง ด้วยประชากรที่มีจำนวนมากและอยู่ในวัยทำงานในสัดส่วนสูง รวมทั้งเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ภาคการผลิตและภาคบริการที่มีรายได้สูงกว่าภาคเกษตรกรรม สอดคล้องกับการขยายตัวของสังคมเมือง

          • การลงทุนตรงจากต่างชาติ (FDI) มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง: เวียดนามถือว่ามีองค์ประกอบสำคัญหลายอย่างที่ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้เป็นอย่างดี จากโครงสร้างประชากรที่อยู่ในวัยแรงงานสูงถึง 70% และค่าแรงไม่สูงมาก, ภาครัฐพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคต่อเนื่อง ขณะที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน (Trade War) ส่งผลให้เกิดการย้ายห่วงโซ่อุปทาน หลายบริษัทมีแผนย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนและมองหาตลาดใหม่เพื่อกระจายห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็น Samsung, LG, Foxconn, Intel ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) เข้ามาที่เวียดนามมีมูลค่าสูงติดอันดับต้น ๆ ในภูมิภาค และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง (Fig.11)

          • ระดับมูลค่าที่ถูกมาก มักให้ผลตอบแทนที่ดีมากในอนาคต: ปัจจุบันตลาดหุ้นเวียดนามซื้อขายที่ระดับ -2.7SD ของ 12-month Forward P/E เฉลี่ย 10 ปี โดยเป็นระดับมูลค่า P/E ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี (Fig.12) ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจเข้าทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาว โดยสถิติในอดีตตลาดหุ้นเวียดนามมักให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 96% และ 229% ในช่วง 5 ปี และ 10 ปี ตามลำดับ หรือ คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยราว 20%ต่อปี เมื่อเข้าลงทุนที่ระดับ P/E บริเวณ -2SD หรือต่ำกว่า โดยความน่าจะเป็นที่ผลตอบแทนเป็นบวกมีสูงถึง 100% (Fig.13)

Fund Finder

กลุ่มอุตสาหกรรม Health Care: กองทุน RMF แนะนำ คือ SCBRMGHC

เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวโดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ดังต่อไปนี้

          • แนวโน้มประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ: ประชากรทั่วโลกมีจำนวนผู้สูงอายุในสัดส่วนที่สูงและยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยมีการคาดการณ์ว่า จำนวนผู้สูงอายุทั่วโลก (อายุ 65 ปีขึ้นไป) จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 24% ของประชากรทั้งหมดในปี 2100 จากปัจจุบันที่ประมาณ 10% นำไปสู่ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการทางการแพทย์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Fig.14)

          • ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการดูแลสุขภาพ: การค้นพบนวัตกรรมใหม่ ในการรักษาโรค เช่น มะเร็ง, ไขมันพอกตับ, โรคอัลไซเมอร์ ให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้น และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอนาคต เช่น สหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่มีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่อหัวสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก มีการคาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่อ GDP จะเพิ่มจาก 18.5% ในปี 2019 เป็น 26.1% ในปี 2040 (Fig.15)

          • มีความ Defensive ทนทานต่อทุกสภาวะตลาด: เนื่องจากบริการทางการแพทย์เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ และความต้องการบริการทางการแพทย์ไม่ได้แปรผันตามภาวะเศรษฐกิจ ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมนี้มีความยืดหยุ่นในภาวะที่เศรษฐกิจมีความผันผวน และมีความสามารถในการส่งผ่านต้นทุนในภาวะเงินเฟ้อสูง ทำให้แนวโน้มรายได้และกำไรไม่อ่อนไหวต่อวัฏจักรเศรษฐกิจมากนัก สอดคล้องกับสถิติในอดีตที่บ่งชี้ว่ากลุ่ม Health Care มีกำไรที่เติบโตได้ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอย และสามารถสร้างกำไรเติบโตเฉลี่ย 20 ปีที่ระดับ 9.2% (Fig.16) ดังนั้นหุ้นกลุ่ม Health Care จึงสามารถสร้างผลตอบแทนดีกว่าดัชนีหุ้นโลกทั้งก่อนและระหว่างเกิดเศรษฐกิจถดถอย (Fig.17)

Fund Finder

กลุ่มธีมพลังงานสะอาดและ EV: กองทุน SSF แนะนำ คือ SCBEV(SSF) และกองทุน RMF แนะนำ คือ SCBRMCLEAN(A)

เป็นอีกหนึ่งธีมการลงทุนที่น่าสนใจและมีโอกาสเติบโตสูงในระยะกลางถึงยาว จากปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ดังต่อไปนี้

          • รัฐบาลทั่วโลกให้ความสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero: ทั้งฝั่งยุโรป, สหรัฐฯ และจีน เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการเร่งผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียวไม่ว่าจะเป็นการหันมาใช้พลังงานสะอาดในการผลิตพลังงาน, การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเริ่มเห็นมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐให้แก่บริษัทเอกชนและผู้บริโภคโดยตรงผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ McKinsey & Co ได้คาดการณ์การลงทุนในพลังงานสะอาดยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องไปถึงปี 2030 เป็นอย่างน้อย (Fig.18)

          • ความตึงเครียดด้านการเมืองระหว่างประเทศเป็นปัจจัยเร่งการเปลี่ยนผ่าน: ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน เป็นปัจจัยเร่งให้ลดการพึ่งพาการใช้พลังงานจากรัสเซียและเร่งการแหล่งพลังงานทดแทนและลงทุนพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน ก็เป็นตัวเร่งให้จีนหันมาสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าที่ถือว่าจีนเป็นหนึ่งในผู้นำกระจายห่วงโซอุปทานและส่งเสริมการขายให้แก่หลายประเทศทั่วโลก

          • เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและต้นทุนที่เริ่มสามารถเข้าถึงในวงกว้าง: ถึงแม้ต้นทุนการผลิตโดยตรงของรถ EV ยังคงสูงกว่าต้นทุนการผลิตโดยตรงของรถ ICE (รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน) แต่ระยะกลาง-ยาว แบตเตอรี่ที่เป็นต้นทุนหลักในการผลิตรถ EV กำลังถูกพัฒนาให้มีราคาถูกลงในอัตราเร่งต่อเนื่องตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมาและอนาคตภายในปี 2030 คาดว่าแบตเตอรี่จะมีราคาถูกลงอีกเกือบครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตรถ EV จะสูงกว่ารถ ICE เพียง 9% เท่านั้นจากที่เคยสูงกว่ามากถึง 45% ในปี 2020 ดังนั้นถึงแม้จะไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐแล้ว แต่คาดว่า รถ EV จะมีความสามารถในการแข่งขันเชิงต้นทุนไม่แพ้รถ ICE ในอนาคตอันใกล้ ทั้งนี้ท่ามกลาง สถาณการณ์เศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอตัวและเงินเฟ้อสูงในปีนี้ แต่ยอดส่งมอบรถ EV ยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องสวนทางรถยนต์สันดาป โดย Bloomberg คาดการณ์ว่ายอดขายรถ EV จะยังเติบโตระดับ 20% ต่อปีในระยะ 3 ปีข้างหน้า (Fig.19-20)

Fund Finder

          ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และขอรับหนังสือชี้ชวน ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขา หรือ บลจ.ไทยพาณิชย์ โทร. 02-777-7777 กด 0 กด 6 www.scbam.com