คุยเฟื่องเรื่องกองทุน : วางแผนการเงินก่อนวัยเกษียณ

18 มิถุนายน 2564

         การเข้าสู่วัยเกษียณอาจเป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับหลาย ๆ คน เพราะเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณรายได้ที่แน่นอนทุกเดือนก็จะลดน้อยลงไปกว่าช่วงทำงาน จนทำให้หลายคนกังวลถึงขั้นที่ไม่กล้าลงทุน หรือลงทุนโดยใช้ความเสี่ยงน้อยมากเนื่องจากกลัวว่าหากลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง อาจทำให้เงินที่เก็บสะสมมานั้นลดหายไปจนไม่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น การไม่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเลยอาจกลายเป็นความเสี่ยงเสียเอง เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำมาก ๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือเงินฝากออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำเพียงอย่างเดียวนั้น จะไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อระยะยาวได้ ส่งผลให้มูลค่าของเงินที่เราเก็บสะสมมาลดน้อยลงไป ดังนั้นเราจึงควรมีการวางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบ เพื่อให้เงินสะสมของเรานั้นงอกเงยและเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายหลังเกษียณ

         ในการลงทุนหลังเกษียณนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง คือ เพื่อที่จะให้มีอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อระยะยาว และเพื่อให้เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล การตอบสนองไลฟ์สไตล์ การช่วยเหลือสังคม รวมถึงการเก็บเป็นมรดกให้กับลูกหลาน โดยในขั้นแรกเราจะต้องเริ่มจากการประมาณค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นซึ่งจะแตกต่างกันไปตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน เช่น หากเป็นคนที่ชอบท่องเที่ยวก็จะมีค่าใช้จ่ายมากกว่าคนที่อยู่ติดบ้าน ในขณะที่คนที่มีสุขภาพแข็งแรงออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็อาจมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพน้อยกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกาย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากต้องการมีคุณภาพชีวิตไม่ต่างจากช่วงก่อนเกษียณฯ ควรมีเงินเก็บไม่น้อยกว่า 70% ของค่าใช้จ่ายก่อนเกษียณเลยทีเดียว ซึ่งการประมาณการค่าใช้จ่ายนี้ จะทำให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ว่าเราจะต้องจัดสรรเงินทุนของเราอย่างไร และควรจะต้องมีรายได้จากเงินลงทุนดังกล่าวมากน้อยเพียงใด

         เมื่อเราประมาณการค่าใช้จ่ายได้แล้ว ขั้นต่อมาก็คือการพิจารณาในส่วนของรายรับว่า เรามีรายรับจากส่วนใดบ้างเพื่อนำมาวางแผนในการลงทุน ซึ่งอาจแบ่งได้เป็นส่วนของเงินก้อนที่เราจะได้รับทันทีหลังเกษียณ เช่น เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข) กองทุนประกันสังคม หรือเงินประกันชีวิต เป็นต้น

 

         ทั้งนี้ เมื่อได้ประมาณการทั้งในส่วนของรายรับ และรายจ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแล้ว ก็จะทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าเราควรจะต้องมีผลตอบแทนจากเงินทุนที่เรามีมากน้อยเพียงใดเพื่อให้เพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตหลังเกษียณ โดยมีคุณภาพชีวิตไม่แตกต่างจากช่วงก่อนเกษียณ ซึ่งการบริหารจัดการเงินเพื่อการลงทุนนั้นอาจทำได้โดยการแบ่งเงินเป็นส่วนๆ ตามลำดับการใช้จ่าย โดยส่วนแรกเรียกว่าเงินสภาพคล่อง คือ เงินที่เตรียมไว้สำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และการดูแลสุขภาพ โดยค่าใช้จ่ายส่วนนี้อาจมีสัดส่วนประมาณ 60% ของเงินสะสมทั้งหมด เป็นเงินที่ควรนำไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยมีสภาพคล่องสูง เช่น เงินฝากออมทรัพย์ หรือกองทุนรวมตลาดเงิน เป็นต้น เพื่อให้สามารถนำออกมาใช้ได้ง่ายในกรณีที่มีความจำเป็น

         สำหรับเงินส่วนที่สองนั้น คือ เงินที่เตรียมไว้สำหรับการใช้จ่ายที่นอกเหนือจากการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น การใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ การช่วยเหลือสังคม หรือการเก็บไว้เป็นมรดกให้กับลูกหลาน ซึ่งเงินในส่วนนี้อาจเป็นเงินที่ไม่ได้ถูกนำออกมาใช้ในช่วง 2 - 3 ปีแรกของการเกษียณ จึงมีความจำเป็นที่การลงทุนของเงินส่วนนี้จะต้องมีอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ด้วยระยะเวลาการลงทุนที่ยาวกว่าเงินส่วนแรก เงินในส่วนนี้จึงเหมาะที่จะนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากกว่า เช่น ตราสารหนี้ระยะยาว กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือหุ้นสามัญที่มีพื้นฐานดี เป็นต้น

         การจัดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล โดยการจัดสัดส่วนการลงทุนควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์การลงทุน ผลตอบแทนที่คาดหวัง และระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ มิควรให้ความสำคัญกับปัจจัยใดมากเกินไปจนละเลยปัจจัยอื่นที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทุกประเภทมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง

 

โดย คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย​
        ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร​
        บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด