Worldwide Wealth by SCBAM : “เลือกตั้งสหรัฐฯ” มีผลแค่ไหนกับทิศทางตลาดทุน

14 สิงหาคม 2567

            นับตั้งแต่ การดีเบต (Debate; การอภิปรายแสดงวิสัยทัศน์) เพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างประธานาธิบดีคนปัจจุบัน นายโจ ไบเดน ตัวแทนพรรคเดโมแคต และอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัปท์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2567 ทำให้ตลาดหุ้นกลับมาผันผวนอีกครั้งจากคะแนนความนิยมของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้หลายฝ่ายมองว่าอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญต่างๆ ในปัจจุบันได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อ โจ ไบเดน ได้ประกาศถอนตัวจากการลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี และล่าสุดที่ นางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน จะขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งแทน ซึ่งดูเหมือนว่าจะทำให้คะแนนนิยมของพรรคเดโมแคตปรับตัวดีขึ้น แต่ยังเป็นการยากที่จะชี้ชัดว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ในท้ายที่สุด ซึ่งทั้งคู่มีกำหนดการที่จะดีเบตกันอีกครั้งในช่วงต้นเดือนกันยายน โดยมีหลายประเด็นสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตามองจากนี้ เนื่องจากคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดลงทุนได้

            เกาะติด 4 นโยบายต่างขั้วของ(ว่าที่)ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

            1. นโยบายภาษี พรรครีพับลิกันมีนโยบายที่จะขยายการการลดอัตราภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา ที่ประกาศใช้ในปี 2017 (Tax cut and Job Act) และจะหมดอายุลงในช่วงปลายปี 2025 ซึ่งน่าจะได้รับการขยายเวลาหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ขณะที่ นโยบายลดภาษีอาจจะถูกยกเลิก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้สูงกว่า 4 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ที่จะถูกปรับขึ้นภาษีจากร้อยละ 21% ไปที่ร้อยละ 28

            2. นโยบายด้านภาษีการค้า ซึ่งนโยบายของ ทรัมป์ ค่อนข้างเกิดผลกระทบรุนแรงหากมีการดำเนินการจริง จากแผนการภาษีการค้าในสินค้านำเข้าทั้งหมดที่ระดับร้อยละ 10 ซึ่งจะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตรและหุ้นส่วนเดิม เช่น เม็กซิโก แคนาดา และสหภาพยุโรป นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่จะขึ้นภาษีการค้ากับจีนไปถึงระดับกว่าร้อยละ 60 ซึ่งประเมินกันว่า หากได้ดำเนินการจริงจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนอย่างมาก อย่างไรก็ดี นโยบายของพรรคเดโมแครตไม่ได้สนับสนุนการขึ้นภาษีในทุกสินค้าและจะยังคงระดับภาษีการค้ากับจีนไว้เช่นเดิม

            3. นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ทรัมป์มีนโยบายลดวงเงินใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม และอาจให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมให้แก่ผู้ผลิตน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งต่างกับนโยบายของเดโมแคต ที่สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานสะอาด ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และโครงการพลังงานสะอาด โดยนำเงินทุนมาจากการขึ้นภาษีนิติบุคคล และคนมีรายได้สูง เป็นต้น

            4. นโยบายด้านการย้ายถิ่นฐาน ค่อนข้างชัดเจนที่ทรัมป์ไม่สนับสนุนการเข้ามาของแรงงานต่างชาติเลย หากพิจารณาในช่วงปี 2022-2023 พบว่าการอพยพเข้าสหรัฐฯ ของแรงงานต่างชาติ มีตัวเลขสูงถึง 3 ล้านคน มีการประเมินว่าการเข้ามาของแรงงานต่างชาติส่งผลบวกต่อสหรัฐ ในแง่การเพิ่มขึ้นของอุปทานแรงงานช่วยผลักดันให้ GDP สหรัฐฯ เติบโตสูงขึ้น ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยคงที่ และต้นทุนค่าจ้างลดลง ทำให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ไม่สูงขึ้นมาก ดังนั้นการปิดชายแดนอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการกระตุ้นให้ค่าจ้างพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งก็เป็นได้

            สำหรับผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุน  พบว่าตลาดหุ้นอาจจะมีความผันผวนสูงขึ้นในปีเลือกตั้งเมื่อเทียบกับปีอื่นๆ จากความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจของผู้สมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี และตลาดหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นต่อหลังวันเลือกตั้งผ่านไปเมื่อความกังวลคลี่คลาย อย่างไรก็ดี การปรับฐานของตลาดหุ้นก็น่าจะเป็นโอกาสของนักลงทุนเช่นเดียวกัน ซึ่งจากการศึกษาของ  Morningstar โดยใช้ข้อมูลการลงทุนในตลาดหุ้น S&P500 ตั้งแต่ปี 1953 – 2023 สรุปได้ว่า นักลงทุนอาจจะไม่มีความจำเป็นปรับสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้น โดยพิจารณาว่าประธานาธิบดีจะมาจากพรรคการเมืองไหน เนื่องจากตลาดหุ้นปรับขึ้น-ลงเหมือนกันไม่ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดี เพราะในท้ายที่สุดแล้วการถือลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาวยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และให้ผลตอบแทนสูงที่สุด

            ทั้งนี้ สำหรับในด้านอุตสาหกรรมพบว่า นโยบายของทรัมป์จะสนับสนุนอุตสาหกรรม เช่น พลังงาน โทรคมนาคม และสาธารณูปโภค และหุ้นขนาดเล็กที่ได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้านภาษี สำหรับในกลุ่มเทคโนโลยี นักลงทุนอาจกังวลว่าการขึ้นภาษีการค้ากับจีนอาจจะกระทบต่อกำไรของบริษัท เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้นอกสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูง อย่างไรก็ดี หากย้อนไปในช่วงที่ทรัมป์ ขึ้นภาษีการค้ากับจีนในระหว่างเดือนกันยายน 2019 ถึงเดือนกันยายนในปี 2020 ผลตอบแทนของหุ้น Apple ซึ่งเป็นบริษัทที่มีรายได้จากจีนสูงที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังสามารถปรับขึ้นได้กว่า 160% เทียบกับหุ้นขนาดใหญ่สหรัฐที่ปรับขึ้นเพียง 23% ซึ่งยังชี้ว่าการเลือกลงทุนในหุ้นเติบโตสูงในอุตสาหกรรมที่ยังขยายตัวได้ เช่น กลุ่มเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จาก AI อาจจะยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้

            สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ในระยะถัดไป ก็คาดว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังมีทิศทางสนับสนุนกับการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มทยอยลดลง เปิดช่องให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งการปรับลดลงของอัตราดอกเบี้ยนี้ คาดว่าจะส่งผลบวกต่อสินทรัพย์ทางเลือกเช่น REITs จากอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูง และแรงกดดันจากการรีไฟแนนซ์ลดลงตามไปด้วย

 

โดย  คุณณรงค์ศักดิ์  ปลอดมีชัย
        ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
        บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด​