Worldwide Wealth by SCBAM : สภาวะการลงทุนในตลาดหุ้น

11 พฤศจิกายน 2562

         หากมองย้อนกลับไปเมื่อต้นปี นักลงทุนต่างก็มีความหวังว่าในปีนี้ตลาดหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นได้ เนื่องจากมองว่า Trade talk จะมีการเจรจากันอย่างประนีประนอมหาทางออกร่วมกันได้ ในขณะที่ในบ้านเราเองก็มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอันจะช่วยดึงความเชื่อมั่นในการลงทุนให้กลับมาได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปการเจรจาทางการค้ากลับทวีความตึงเครียดมากยิ่งขึ้นแม้จะมีช่วงผ่อนลงบ้างก็ตาม ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อการส่งออกของหลายๆ ประเทศและก่อให้เกิดภาวะผันผวนต่อการลงทุนในหุ้น

         สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นปีปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก Valuation ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ (PE 14.2 เท่า) โดยมีปัจจัยบวกจากความหวังในการเจรจรการค้าดังกล่าว การเลือกตั้งภายในประเทศที่ผ่านไปได้และเริ่มจะมีความต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจ แต่เมื่อการเจรจาการค้าเริ่มมีสัญญานจะไม่ราบรื่นอย่างที่คาดการณ์ ตัวเลขทางเศรษฐกิจในประเทศออกมาต่ำกว่าที่ประเมินไว้ ตามมาด้วยผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในแต่ละไตรมาสก็ออกมาต่ำกว่าที่คาดมาก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มปิโตรเคมี ทำให้นักวิเคราะห์ต้องปรับลดประมาณผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดหุ้นจึงปรับตัวลดลงมาอย่างมาก จากที่เคยขึ้นไปที่ระดับ 1,748.15 จุด ลดลงมาที่ 1,579.13 จุด (-169.02 จุด หรือ -9.66%) ส่วนปัจจัยบวกที่ยังประคองตลาดไว้ได้ คือ การที่ธนาคารกลางทั่วโลกปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อช่วยพยุงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจกับปริมาณเม็ดเงินสภาพคล่องในระบบที่ยังสูงอยู่ทำให้ทรัพย์สินเสี่ยงยังดูมีความน่าสนใจลงทุน สำหรับในบ้านเรานั้น รัฐบาลใหม่ก็มีความพยายามที่จะประคองเศรษฐกิจด้วยการออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคการท่องเที่ยวต่างๆ ออกมา

         ในปีหน้า 2563 เรายังคงมองว่าตลาดหุ้นมีโอกาสที่ปรับตัวเป็นขาขึ้นได้ เนื่องจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนซึ่งยืดเยื้อค้างคามานานน่าจะเริ่มบรรลุข้อตกลงอะไรกันได้บ้างแล้ว ภาคธุรกิจที่เคยชะลอการผลิตหรือหยุดการลงทุนต่างๆ จะค่อยๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ภาคการผลิตและภาคการส่งออกจึงมีโอกาสที่จะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป อันจะช่วยบรรเทาความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยลงด้วย (Recession)    เมื่อประกอบกับการที่ธนาคารกลางในหลายประเทศดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายก็จะช่วยให้อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำและปริมาณสภาพคล่องในระบบจะยังอยู่ในระดับสูงต่อไป สิ่งเหล่านี้จะทำให้ตลาดหุ้นสามารถค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้

         นอกจากนี้ ในปีนี้เป็นปีที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนถูกปรับลดประมาณการลงอย่างต่อเนื่องมาตลอดทั้งปี ทำให้นักวิเคราะห์หลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้เกิดภาวะดังกล่าวซ้ำอีก จึงเพิ่มความระมัดระวังและจัดทำประมาณการณ์กำไรสำหรับปี 2563 ในระดับที่ไม่สูงนัก ในทางกลับกัน หากการเจรจาทางการค้าออกมาในเชิงบวกก็จะมีโอกาสที่จะปรับประมาณการผลกำไรเพิ่มขึ้นได้ ในส่วนของรัฐบาลเองก็จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่ล่าช้า รวมถึงการใช้มาตรการกระตุ้นการบริโภคของเอกชน และการส่งเสริมการท่องเที่ยวต่างๆ ที่จะทำต่อเนื่องไปจากปีนี้ด้วย

         อย่างไรก็ดี การลงทุนยังคงมีความเสี่ยงอันอาจจะเกิดขึ้นควบคู่กันไปเสมอ โดยในปีหน้ามีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังและติดตาม ได้แก่ การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563  ซึ่งมีโอกาสสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นทั่วโลกได้ ความขัดแย้งระหว่างประเทศตะวันออกกลางซึ่งจะส่งผลต่อราคาน้ำมัน การเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน รวมถึงทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางประเทศต่างๆ

         การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา ณ ระดับปัจจุบันที่ 1,600 จุด ทำให้ Valuation ของตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น คาดว่าในปี 2563 จะมีอัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ประมาณ 7% ทำให้ PE ของตลาดหุ้นไทยคิดเป็นที่ระดับ 15.3 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ระดับ 15.5 เท่า สำหรับการลงทุนในปีหน้านั้นเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงแค่ทรงตัว จึงควรเน้นการลงทุนในบริษัทมีฐานะการเงินแข็งแรง มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอหรือมีการจ่ายเงินปันผลสูง กลุ่มกิจการที่จะได้รับประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยต่ำ กลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน มาตรการกระตุ้นการบริโภคจากภาครัฐ และกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยว

         อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในตอนนี้ก็ยังมีความไม่แน่นอน ก่อนการลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ

 

โดย  คุณณรงค์ศักดิ์  ปลอดมีชัย​
        ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
        บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด​