Money DIY 4.0 by SCBAM : ทิศทางนโยบายการเงินภายใต้รัฐบาลใหม่

28 สิงหาคม 2566

            ถึงแม้ว่านโยบายทางการเงินของไทยจะถูกพิจารณาโดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งเป็นอิสระต่อองค์กรต่างๆ รวมทั้งทางการเมือง แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ว่านโยบายของแต่ละพรรคการเมืองที่คาดว่าจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล มีหลายนโยบายที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยในอนาคต รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทาง กนง. นำมาพิจารณาในการกำหนดทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย

            “ถ้าพิจารณาถึงนโยบายประชานิยมที่หลายพรรคการเมืองใช้หาเสียง อาทิเช่น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การลดอัตราค่าไฟ และราคาพลังงาน ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั้งในเชิงบวกและลบทั้งสิ้น ดังนั้น ปัจจัยเหล่านี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าจะส่งผลกระทบต่อการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต”

            หากพูดถึงนโยบายที่มีการถกเถียงกันอย่างมากถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นคือ การพิจารณาประเด็นการขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำของไทย ซึ่งถ้าย้อนกลับไปในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่ได้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทุกปี และมีการขึ้นค่าแรงตั้งแต่หลักหน่วยไปจนถึงหลักสิบ โดยมีการขึ้นค่าแรงแบบก้าวกระโดดสูงสุดในยุคของรัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ ที่ขึ้นจาก 215 บาท ต่อวัน ไปเป็น 300 บาทต่อวัน โดย ณ ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำจะเฉลี่ยอยู่ที่ 328 – 354 บาทต่อวัน แตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค ซึ่งหากการปรับขึ้นค่าแรงในครั้งนี้ มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาทต่อวัน ซึ่งจะเป็นการปรับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 27-37 ก็คาดการณ์ได้ว่าจะส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.82 ตามตัวเลขคาดการณ์ที่ประเมินโดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยถ้านำตัวเลขดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นไปบนคาดการณ์เงินเฟ้อของไทย โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในปี 2566 ที่ระดับร้อยละ 2.5 และ ปี 2567 ที่ระดับร้อยละ 2.4 ก็อาจจะส่งผลให้เงินเฟ้อของไทยทะลุกรอบบนของเงินเฟ้อคาดการณ์ที่ทาง ธปท. คาดไว้ที่ร้อยละ 3 ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของไทย แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยอื่นซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาร่วมด้วย เช่น ปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) ที่จะส่งผลกระทบต่อผลผลิตเกษตรและราคาสินค้าในระยะข้างหน้า  ราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นต้นทุนค่าขนส่งอาจปรับเพิ่มขึ้น หากมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาท สิ้นสุดลงในวันที่ 20 ก.ค. 66 ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ล้วนส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อด้านสูง ในขณะที่บางนโยบาย ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในทิศทางตรงกันข้าม อาทิเช่น การลดค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือ FT ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่ใช้หาเสียง เนื่องจากมาตรการปรับลดค่า FT ลง 70 สตางค์ต่อหน่วย เหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย ระหว่าง พ.ค.-ส.ค. 66 ใกล้จะหมดลงนั้น จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและบริการที่สูงขึ้น ดังนั้น นโยบายในการปรับลดค่าไฟจึงถือเป็นส่วนที่สำคัญต่ออัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในอนาคต ถ้าสามารถลดค่าไฟได้อย่างต่อเนื่องก็จะสามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อไม่ให้ปรับเพิ่มขึ้นได้จากต้นทุนที่สูงขึ้น

            นอกเหนือจากปัจจัยด้านเงินเฟ้อ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ต้องนำมาร่วมพิจารณา ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยที่ยังคงเติบโตได้ดีโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดย ธปท. คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 29 ล้านคน ในปี 2566 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการบริโภคในประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกของไทยยังมีสัญญาณชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ซึ่ง ธปท. ได้ออกมาคาดการณ์ตัวเลขส่งออกว่าจะหดตัวร้อยละ 0.10 ในปีนี้  โดยเฉพาะผลกระทบจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจของคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ และยุโรปซึ่งเผชิญแรงกดดันจากภาวะอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง เศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวหลังโควิดต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงในเรื่องการเมืองภายในประเทศยังคงเป็นปัจจัยที่ทาง ธปท. ต้องพิจารณาร่วมด้วย

            เพราะฉะนั้น โดยภาพรวมของสภาวการณ์ปัจจุบัน ยังมีทั้งปัจจัยที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนให้ ธปท. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2566 กนง. ขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง จนมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.0 โดยหลังจากขึ้นดอกเบี้ยในเดือน พ.ค. 66 ที่ผ่านมา กนง. ยังคงมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงของอัตราเงินเฟ้อด้านสูง และแม้ว่า ความกังวลดังกล่าวมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับการประชุมครั้งที่แล้วก็ตาม นอกจากนั้น กนง. ยังคงมีความกังวลต่ออัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่ต่ำเกินไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว โดยปัจจัยหลังนี้อาจจะทำให้ กนง. พิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้อีกร้อยละ 0.25-0.50

            ทั้งนี้ หากการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองราบรื่น การผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นไปได้ด้วยดีและสามารถดำเนินการได้เร็วกว่าคาด จะทำให้เกิดการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย และนำไปสู่การเร่งขยายตัวของเศรษฐกิจไทย และจะกระทบต่อการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อให้ปรับเพิ่มขึ้นได้ โดยปัจจัยเหล่านี้มีแนวโน้มสนับสนุนให้ดอกเบี้ยนโยบายสามารถปรับเพิ่มสูงขึ้นได้อีกหรือทรงตัวอยู่ระดับสูงเป็นเวลานาน

 

โดย  คุณนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส
        ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน 
        บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด