Money DIY 4.0 by SCBAM : เจาะลึกการลงทุน 2568: กลยุทธ์จัดพอร์ตฝ่าวิกฤตสงครามการค้ารอบใหม่

23 มกราคม 2568

            ตลาดการเงินปี 2567 เต็มไปด้วยความผันผวนจากปัจจัยรอบด้าน ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ วิกฤตพลังงาน และนโยบายการเงินเข้มงวดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อ 7 นางฟ้า หรือ Magnificent 7 (Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, NVIDIA, Meta และ Tesla) ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาด ด้วยการเติบโตของธุรกิจที่แข็งแกร่งจากกระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งหากดูข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ จะพบว่า ดัชนี S&P500 ให้ผลตอบแทนในปี 2567 ถึง 24% ซึ่งแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่สำคัญของตลาดทุน เมื่อ Magnificent 7 มีสัดส่วนมูลค่าตลาดรวมกันถึง 28% ของตลาดซึ่งสูงที่สุดในรอบ 40 ปี สะท้อนถึงบทบาทของเทคโนโลยีที่มีต่อระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ ปรากฏการณ์นี้ส่งผลให้นักลงทุนต้องปรับเปลี่ยนมุมมองการวิเคราะห์และการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน

            การก้าวเข้าสู่ปี 2568 จึงอาจมาพร้อมกับความท้าทายรูปแบบใหม่ หลังจากชัยชนะของ Donald Trump ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นโยบายการค้าและภาษีที่เข้มงวดกำลังจะกลับมามีบทบาท ซึ่งนักวิเคราะห์จาก Bloomberg และ Reuters ต่างคาดว่าจะเห็นการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมราว 20% และอาจขยายมาตรการไปสู่ประเทศอื่นๆ โดยเฉลี่ย 5% ซึ่งจะส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและการค้าระหว่างประเทศ สำหรับในด้านนโยบายการเงินที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินในปี 2568 โดยตลาดคาดการณ์ว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยลง อาจเกิดขึ้น 2-3 ครั้ง แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตพบว่า การขึ้นภาษีนำเข้าอาจทำให้เงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจทำให้ Fed ต้องชะลอการปรับลดดอกเบี้ยลง

            อย่างไรก็ตาม จากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ที่อาจจะก่อให้เกิดสงครามการค้านั้น จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตด้วยโมเดล Quant แสดงให้เห็นว่า ช่วงที่มีความตึงเครียดทางการค้า หุ้นในกลุ่มที่พึ่งพาตลาดในประเทศ (Domestic Play) มักจะมีเสถียรภาพมากกว่ากลุ่มที่พึ่งพาการส่งออก ขณะที่บริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงมักจะรักษาความสามารถในการทำกำไรได้ดีกว่า โดยเฉพาะบริษัทที่มีอำนาจในการกำหนดราคา (Pricing Power) และมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง การศึกษาพฤติกรรมราคาหุ้นย้อนหลังยังชี้ให้เห็นว่า หุ้นที่มีคุณลักษณะของ Quality Factor โดดเด่น เช่น มีความสม่ำเสมอของกำไร อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) สูง และมีหนี้สินต่ำ มักจะสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวและทนทานต่อความผันผวนของตลาดได้ดีกว่า

            3 แนวทางการลงทุนที่นักลงทุนไทยควรให้ความสำคัญในปี 2568

            ย้อนกลับมาสำรวจตลาดหุ้นไทยในปีที่ผ่านมา 2567 การลงทุนในหุ้นไทยสไตล์ Value จะมีโอกาสให้ผลตอบแทนดีที่สุด และสไตล์การลงทุนแบบ Momentum ให้ผลตอบแทนน้อยที่สุด ดังนั้นในจังหวะที่ตลาดทุนยังผันผวน การลงทุนในปี 2568 มี 3 แนวทางที่นักลงทุนควรต้องให้ความสำคัญ คือ (1) การกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม; ควรผสมผสานระหว่างหุ้นไทยที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและการลงทุนในต่างประเทศ สร้างสมดุลระหว่างหุ้นเติบโต (Growth) หุ้นที่มีเสถียรภาพ (Defensive) และผลตอบแทนไม่ค่อยขึ้นกับตลาด (Low Beta) รวมทั้งกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภทรวมถึงตราสารหนี้และสินทรัพย์ทางเลือก ถัดมา (2) เลือกหุ้นด้วยปัจจัยเชิงคุณภาพ (Quality); ให้มองหาบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันชัดเจน พิจารณาความสามารถในการรักษาอัตรากำไรในภาวะต้นทุนสูง และให้ความสำคัญกับคุณภาพของงบดุลและกระแสเงินสด และสุดท้าย (3) ใช้กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม; โดยทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (DCA) เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวน และพร้อมปรับพอร์ตการลงทุนตามการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานและภาวะตลาด

            สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจของตลาดทุนไทย มี 3 กลุ่มหุ้นคือ (1) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ เช่น ธุรกิจค้าปลีกที่มีการปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัล, ธุรกิจท่องเที่ยวและบริการที่มีการบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพ, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายชัดเจน (2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานโลก เช่น นิคมอุตสาหกรรมที่มีทำเลศักยภาพ, ผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีประสบการณ์ในโครงการขนาดใหญ่, ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่มีเครือข่ายครอบคลุม และ (3) หุ้นที่มีความมั่นคงสูง เช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง, บริษัทที่มีประวัติการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ

            สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความสะดวกในการลงทุนและบริหารพอร์ต สามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนสอดคล้องกับธีมการลงทุนในปี 2568 ได้ อาทิ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นไทย Low Beta (SCBLOWBETA) ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่สัมพันธ์กับตลาดและความผันผวนต่ำ เหมาะสำหรับการลงทุนในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง หรือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Thai Equity Quality Portfolio (SCBQUALITYA) ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Quality ซึ่งเป็นหุ้นที่กำไรและกระแสเงินสดของบริษัทค่อนข้างมีเสถียรภาพ อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมด้วยว่าการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและการปรับกลยุทธ์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงจะเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จในการลงทุนปี 2568 โดยเฉพาะในช่วงที่นโยบายการค้าของสหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบชัดเจน ซึ่งนักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ(*) ที่มาข้อมูล : Bloomberg ณ วันที่ 30 พ.ย. 2567

 

การลงทุนในกองทุนรวมมิใช่การฝากเงิน และผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต / ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน สอบถามข้อมูลและรับหนังสือชี้ชวนได้ทุกวันทำการที่ บลจ.ไทยพาณิชย์ หรือ SCBAM Client Relations โทร. 0 2777 7777

 

โดย  คุณนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส
        ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด​