ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ประกาศเปิดทางให้มีการออกและเสนอขายกองทุนประเภท Leverage ETF และ Inverse ETF ในตลาดทุนไทยเป็นครั้งแรก ข่าวนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในแวดวงการลงทุน เพราะไม่เพียงแต่เป็นการเพิ่มตัวเลือกให้แก่นักลงทุน แต่ยังสะท้อนทิศทางการพัฒนาตลาดทุนไทยให้ก้าวทันเครื่องมือระดับสากล นักลงทุนหลายคนอาจสงสัยว่าเครื่องมือเหล่านี้คืออะไร และทำไมนักลงทุนทั่วโลกจึงให้ความสนใจอย่างมาก คำตอบอยู่ที่คุณสมบัติเฉพาะของผลิตภัณฑ์ ETF ตัวนี้ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าหรือสวนทางกับดัชนีอ้างอิงได้ ซึ่งหากเข้าใจและใช้อย่างถูกต้อง อาจกลายเป็น “อาวุธลับ” ในการบริหารพอร์ตช่วงตลาดผันผวน
Leverage ETF และ Inverse ETF คืออะไร และทำงานอย่างไร
Leverage ETF คือกองทุนที่ออกแบบมาเพื่อสร้างผลตอบแทนมากกว่าดัชนีอ้างอิง เช่น 2 เท่า (2x) ต่อวัน ผ่านการใช้ตราสารอนุพันธ์อย่างฟิวเจอร์ส (Futures) เพื่อเพิ่มน้ำหนักการลงทุน หากดัชนีอ้างอิงเพิ่มขึ้น 1% ในวันนั้น Leverage ETF 2x จะมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นราว 2% (ก่อนหักค่าใช้จ่าย) ข้อดีคือสามารถใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการซื้อสินทรัพย์โดยตรง แต่ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับการลงทุนขนาดใหญ่ เหมาะกับการเก็งกำไรในช่วงที่มีแนวโน้มชัดเจน ในทางกลับกัน Inverse ETF คือกองทุนที่ให้ผลตอบแทนในทิศทางตรงข้ามกับดัชนี เช่น ดัชนีลดลง 1% Inverse ETF จะตั้งเป้าเพิ่มขึ้นราว 1% ในวันนั้น เครื่องมือนี้จึงเหมาะทั้งสำหรับการทำกำไรในตลาดขาลง และใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนเมื่อมีข่าวร้ายหรือภาวะตลาดเป็นลบ แม้ผลิตภัณฑ์ทั้งสองจะยังใหม่สำหรับนักลงทุนไทย แต่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป ถือเป็นเครื่องมือที่นักลงทุนสถาบันและรายย่อยจำนวนมากใช้มานานกว่าทศวรรษ
ทำไมผลิตภัณฑ์นี้ถึงมาแรง?
ตลาด ETF ทั่วโลกเองก็มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยสิ้นปี 2024 มีมูลค่ารวมแตะระดับหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจากปี 2008 การเติบโตนี้ไม่เพียงเกิดจากความนิยมในกองทุนดัชนีทั่วไป แต่ยังรวมถึงผลิตภัณฑ์เฉพาะทางอย่าง Leverage และ Inverse ETF กระแสความนิยมกองทุนดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีรายงานจากหลายสำนักที่ชี้ว่ามูลค่าทรัพย์สินรวม (AUM) ของกองทุนประเภทนี้เติบโตอย่างรวดเร็วในรอบหลายปี ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการใช้เครื่องมือเพิ่มเพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการเข้าถึงกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้รวดเร็ว
ผลตอบแทนจาก Daily Reset และความเบี่ยงเบน
หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อย คือการคิดว่า Leverage ETF 2x จะให้ผลตอบแทนเท่ากับ 2 เท่าของผลรวมดัชนีในระยะยาว ความจริงคือกองทุนเหล่านี้จะรีเซ็ตผลตอบแทนทุกวัน (Daily Reset) ทำให้เกิดผลทบต้น (Compounding Effect) ซึ่งอาจเบี่ยงเบนจากที่คาดไว้ ยกตัวอย่าง หากดัชนีวันแรกขึ้น 10% และวันถัดมาดัชนีปรับลดลงมาที่เดิม ผลลัพธ์สุดท้ายของ Leverage ETF 2x จะไม่ใช่ศูนย์พอดีเหมือนการคำนวณแบบง่าย แต่จะต่างออกไปเพราะฐานการคำนวณเปลี่ยนทุกวัน ยิ่งตลาดแกว่งสลับขึ้นลงมาก ผลสะสมในระยะกลางถึงยาวอาจต่างจากที่นักลงทุนคิดไว้มาก ในต่างประเทศจึงมักใช้ Leverage/Inverse ETF สำหรับกลยุทธ์ระยะสั้น และมักมีการติดตามพอร์ตอย่างใกล้ชิด
จากกฎเกณฑ์ ก.ล.ต. สู่การใช้งานจริงในไทย
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2568 ก.ล.ต. ได้มีประกาศปรับปรุงหลักเกณฑ์รองรับการออกกองทุน Leverage/Inverse ETF ในไทย เป็นสัญญาณว่าตลาดทุนกำลังก้าวเข้าสู่เฟสใหม่ของความหลากหลายด้านผลิตภัณฑ์ แต่ในช่วงแรกจะมีการกำหนดกรอบการลงทุนที่ชัดเจน ทั้งด้านโครงสร้างกองทุน สัดส่วนอัตราทวีคูณของ Leverage/Inverse ETF ได้ไม่เกิน 2 เท่าและอัตราทวีคูณต้องเป็นจำนวนเต็มเพื่อความเข้าใจง่ายสำหรับนัดลงทุน รวมถึงมีการเปิดเผยวิธีการลงทุน เครื่องมือที่ใช้และ ความเสี่ยง เพื่อปกป้องนักลงทุนรายย่อยจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความผันผวนสูงเกินไป
โอกาสต่อยอดและผลกระทบต่อตลาดไทย
ในอนาคต การเปิดตัว Leverage/Inverse ETF อาจเป็นเพียงก้าวแรกของการพัฒนาผลิตภัณฑ์อนุพันธ์เชิงนวัตกรรมในตลาดทุนไทย เช่น กองทุนที่อ้างอิงสินทรัพย์เฉพาะทาง (Thematic Leveraged ETF) หรือกองทุนที่ผสมผสานกลยุทธ์หลายรูปแบบในผลิตภัณฑ์เดียว การเข้ามาของผลิตภัณฑ์นี้จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาด และเปิดโอกาสให้นักลงทุนมีเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่ซับซ้อนได้โดยไม่ต้องเปิดบัญชีอนุพันธ์โดยตรง ทั้งนี้เครื่องมือที่มีศักยภาพสูงก็มักมาพร้อมระดับความเสี่ยงที่ต้องศึกษาให้รอบด้าน เพื่อให้สามารถใช้งานได้สอดคล้องกับสภาพตลาดและกลยุทธ์ที่ตั้งไว้
สรุป
Leverage และ Inverse ETF คือการเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของการลงทุน นักลงทุนที่สนใจจึงควรทำความเข้าใจโครงสร้าง กลไก และข้อจำกัดของผลิตภัณฑ์ให้ถ่องแท้ รวมถึงวางแผนการใช้ให้สอดคล้องกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่มักแนะยอมรับได้ การเปิดไฟเขียวจาก ก.ล.ต. ครั้งนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับกลยุทธ์การลงทุนของนักลงทุนไทยให้ใกล้เคียงมาตรฐานสากลมากขึ้น
โดย คุณนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด