Money DIY 4.0 by SCBAM: หุ้นสหรัฐฯ ไปต่อไหวหรือไม่? เมื่อกำไร 1Q25 โตแกร่ง แต่ Valuation เริ่มตึง

19 มิถุนายน 2568

            ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ นักลงทุนยังคงติดตามผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า (Tariff) ซึ่งล่าสุดจากการรวบรวมข้อมูลของ FactSet ในวันที่ 30 พ.ค. 68 บริษัทในดัชนี S&P 500 มีการรายงานผลประกอบการงวด 1Q25 ไปแล้ว 98% ของจำนวนบริษัททั้งหมด โดยมีจำนวนบริษัทที่รายงานกำไรต่อหุ้น (EPS) สูงกว่าคาดการณ์ถึง 78% ของจำนวนบริษัททั้งหมดใน S&P 500 (ค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง เท่ากับ 77%) โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ผลประกอบการสูงกว่าคาดอย่างโดดเด่น ได้แก่ Health Care, Communication Services และ Information Technology ส่งผลให้กำไรสุทธิใน 1Q25 โดยรวมคาดว่าจะเติบโตถึง 13.3%YoY ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกันที่ดัชนี S&P 500 มีการเติบโตของกำไรในระดับเลขสองหลัก (Double-digit Growth) สะท้อนถึงการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งของบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯ

            อย่างไรก็ตาม แม้ผลประกอบการโดยรวมจะออกมาดีกว่าคาด แต่นักวิเคราะห์ยังคงทยอยปรับลดประมาณการกำไรของปีนี้ลงอย่างต่อเนื่อง โดย Bloomberg Consensus ปรับลดคาดการณ์ EPS ของดัชนี S&P 500 ปีนี้ ลง 2.3% (ตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค. 68 – 30 พ.ค. 68) โดยมีการปรับลดคาดการณ์กำไรลงเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม นำโดยกลุ่ม Energy, Consumer Discretionary และ Materials  ในทางกลับกัน กลุ่ม Information Technology และ Communication Services ได้รับการปรับเพิ่มประมาณการกำไร แรงหนุนสำคัญมาจากกลุ่ม Magnificent 7 (MAG7) ที่รายงานผลประกอบการงวด 1Q25 ดีกว่าคาด โดยกำไรรวมของกลุ่ม MAG7 ใน 1Q25 เติบโตสูงราว 27.7%YoY (อ้างอิงจากข้อมูล FactSet วันที่ 30 พ.ค. 68)

            นอกจากผลประกอบการในไตรมาสแรก นักลงทุนยังให้ความสำคัญกับมุมมองของบริษัทจดทะเบียนต่อกำไรในไตรมาสถัดไป เนื่องจาก ความไม่แน่นอนของการขึ้นภาษีนำเข้า อาจส่งผลให้บริษัทประสบปัญหาในการประมาณการผลกำไรในอนาคต ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลของ FactSet พบว่า จำนวนบริษัทในดัชนี S&P 500 ทั้งหมด 478 บริษัท มีจำนวน 259 บริษัท (หรือ คิดเป็น 54%) ยังคงให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับกำไรสุทธิในปีนี้ โดยมีเพียง 8 บริษัท (หรือ คิดเป็น 3%) ที่มีการยกเลิก หรือ ไม่ให้คาดการณ์กำไรในปี 2025 ซึ่งถือว่าต่ำกว่าในช่วง 1Q20 ที่ได้รับผลกระทบจากการ Lockdown ช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งมีบริษัทในดัชนี S&P 500 สูงถึง 185 บริษัท ที่มีการยกเลิก หรือ ไม่ให้คาดการณ์กำไรรายปี นอกจากนั้นในการรายงานผลประกอบการงวด 1Q25 นี้ มี 139 บริษัท จากทั้งหมด 251 บริษัท (หรือ คิดเป็น 55%) ยังคงประมาณการกำไรในปีนี้อยู่ในระดับเดิมเท่ากับก่อนการรายงานงบ แต่มีมุมมองระมัดระวังมากขึ้นต่อการเติบโตของกำไร เนื่องจาก ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้า และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยบางบริษัทให้เหตุผลว่า การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ อาจช่วยชดเชยผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นได้ โดยเฉพาะบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกเป็นส่วนใหญ่ จึงยังไม่มีการปรับลดคาดการณ์กำไรในปีนี้ลง ขณะที่ 64 บริษัท จากทั้งหมด 251 บริษัท (หรือ คิดเป็น 25%) มีการปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรในปีนี้ขึ้นสูงกว่าคาดการณ์เดิมที่เคยให้ไว้ นำโดยกลุ่ม Information Technology และ Health Care

            แม้ว่าผลประกอบการงวด 1Q25 จะยังคงแข็งแกร่งและดีกว่าคาด แต่เรามองว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจมี Upside ที่ค่อนข้างจำกัด เนื่องจาก ระดับ Valuation ของดัชนี S&P 500 ที่มีความตึงตัว เมื่อพิจารณาจาก 12-month Forward P/E Ratio อยู่ที่ระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี +1.4SD (ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 30 พ.ค. 68) ซึ่งในมุมมองของเรา Valuation ของตลาดหุ้นที่อยู่ในระดับสูง สะท้อนถึงความคาดหวังของนักลงทุนที่สูงขึ้นตามมาด้วยเช่นกัน ขณะที่กำไรตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงถูกปรับคาดการณ์กำไรลดลง ทำให้ราคาหุ้นมีความอ่อนไหวมากขึ้นเมื่อมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ

            ในทางกลับกัน โอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดใหม่คาดว่ามีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากความตึงเครียดเรื่องสงครามการค้า เริ่มคลายตัวลง ขณะที่ สถิติในอดีต บ่งชี้ว่า ปัจจัยลบมักจะซึมซับเข้าไปในราคาหุ้นก่อนแล้ว กล่าวคือ ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักทำจุดต่ำสุด ล่วงหน้าก่อนที่ประมาณการกำไรตลาดจะทำจุดต่ำสุด ประมาณ 2 เดือน โดยรอบนี้ดัชนี S&P 500 ได้ทำจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 8 เม.ย. 68 หรือประมาณ 2 เดือนที่แล้ว นอกจากนี้ การรายงานผลประกอบการงวด 1Q25 ที่ยังเติบโตแข็งแกร่ง และสัดส่วนของบริษัทจดทะเบียนที่มีการปรับลดคาดการณ์กำไรในปีนี้มีจำนวนไม่มาก เพราะฉะนั้น เราประเมินว่า มีโอกาสที่การปรับประมาณการกำไรตลาดหุ้นสหรัฐฯ ของนักวิเคราะห์ในตลาด น่าจะใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้วเช่นเดียวกัน หากว่าไม่มีปัจจัยลบใหม่เพิ่มเติมเข้ามากระทบ

            ในระยะกลางถึงยาว เราคาดว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นได้ ด้วยแรงหนุนจากทิศทางการเติบโตของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนและการประยุกต์ใช้ AI เพื่อช่วยเพิ่ม Productivity แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่คาดว่าไม่น่าจะถึงขั้นถดถอย ส่วนนโยบายการเงินของ Fed มีแนวโน้มผ่อนคลาย อย่างไรก็ดี ในระยะสั้น ปัจจัยที่อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นได้ คือ พัฒนาการของนโยบายการค้าและการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และคู่ค้าประเทศต่าง ๆ   

 

โดย  คุณนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส
        ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน
        บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด