Money DIY 4.0 by SCBAM: ทองคำขึ้นต่อได้ไหม หลังทำจุดสูงสุดใหม่

18 พฤศจิกายน 2568

            ราคาทองคำได้สร้างสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2568 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงกว่า 52.6% และเมื่อรวมกับปี 2567 ที่เพิ่มขึ้น 29.5% ทำให้ผลตอบแทนสะสมของทองคำในสองปีนี้ สูงกว่า 97% แซงหน้าตลาดหุ้นและตราสารหนี้ส่วนใหญ่ โดย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2568 ราคาทองคำทรงตัวที่ระดับประมาณ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ หลังจากที่เคยแตะระดับสูงสุดใหม่ใกล้ 4,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ท่ามกลางความผันผวนของตลาดเงินโลกและความไม่แน่นอนของสงครามการค้า

            คำถามสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกยังจับตาคือ ราคาทองคำยังจะขึ้นต่อได้อีกหรือไม่ จากการวิเคราะห์ปัจจัยที่หนุนราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสองปีที่ผ่านมา พบว่าปัจจัยเหล่านี้ยังคงเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญในปัจจุบัน ได้แก่

            1.  การเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงตลาดช่วง 2 ปี ข้างหน้า นับเป็นสัญญาณสำคัญที่อาจกำหนดทิศทางของราคาทองคำ โดยในอดีตราคาทองคำมักเคลื่อนไหวสวนทางกับอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับ “ลดอัตราดอกเบี้ย” ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรจะลดลง และทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ในการถือทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีดอกเบี้ยลดลงตามไปด้วย ดึงดูดให้นักลงทุนหันมาสะสมทองคำมากขึ้น

            2. ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่คลี่คลาย ความขัดแย้งหลักของโลกยังคงอยู่ในสภาวะเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน หรือความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ยังไม่สงบลง รวมถึงความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นแรงหนุนให้สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ซึ่งนักลงทุนใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (Hedge Asset) เมื่อเกิดวิกฤต

            3.  การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก หลังเหตุการณ์แช่แข็งทรัพย์สินของรัสเซียในปี 2565 ธนาคารกลางทั่วโลกโดยเฉพาะกลุ่มประเทศเกิดใหม่ เช่น จีน อินเดีย ตุรกี และโปแลนด์ ต่างเพิ่มสัดส่วนของทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ จากข้อมูลของ World Gold Council ชี้ว่าธนาคารกลางเข้าซื้อทองคำ เฉลี่ยประมาณ 1,040 ตันต่อปี ในช่วงปี 2566 - 2567 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนปี 2565 ประมาณ 2 เท่า  ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าธนาคารกลางประเทศเกิดใหม่ยังมีสัดส่วนถือครองทองคำเพียง 11% ของทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมด เทียบกับในกลุ่มธนาคารกลางประเทศพัฒนาแล้วที่มีสัดส่วนสูงถึง 26%  ทำให้คาดว่าความต้องการทองคำจากธนาคารกลางในประเทศเกิดใหม่ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

            4. การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงราว 9% ตั้งแต่ต้นปี จากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีก 0.50% ในปีนี้  ขณะเดียวกัน ภาวะขาดดุลการคลังในระดับสูงของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยกดดันดอลลาร์ในระยะกลางอย่างมีนัยสำคัญ โดยจากการประเมินของ สำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ (CBO) คาดการณ์ว่าสหรัฐฯ มีแนวโน้มขาดดุลกว่า 6% ของ GDP ต่อเนื่องหลายปี และหนี้สาธารณะต่อ GDP อาจพุ่งสู่ระดับ 120-134% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ความไม่สมดุลทางการคลังนี้ยิ่งเสริมอุปสงค์การถือครองทองคำ

            แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นสะท้อนปัจจัยบวกหลักไปแล้วพอสมควร การเคลื่อนไหวของทองคำในรอบต่อไปจึงอาจไม่ใช่ขาขึ้นแบบพุ่งแรง เหมือนช่วงปี 2567 – 2568 แต่คาดว่าจะเป็นรอบของการทรงตัวในระดับสูง และมีโอกาสทยอยปรับขึ้นในระยะกลาง นักลงทุนระยะสั้นควรระมัดระวังการขายทำกำไร ขณะที่นักลงทุนระยะกลางถึงยาว ทองคำยังคงมีคุณค่าทางกลยุทธ์ในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (Hedge Asset) ต่อความผันผวนของตลาดหุ้น ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงภาวะหนี้สาธารณะของภาครัฐที่พุ่งสูงขึ้น  

 

โดย  คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย
        ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
        บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด