เข้าสู่เดือนกันยายนปีนี้ เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความผันผวนจากหลายปัจจัย ทั้งสัญญาณลดดอกเบี้ยจาก Fed ที่ยังคลุมเครือด้วยตัวเลขเศรษฐกิจ ตัวเลขการจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อที่ต้องคอยติดตามอย่างใกล้ชิด นโยบายภาษีและการค้าระหว่างประเทศที่ซับซ้อน ความไม่แน่นอนด้านการเมืองในหลายภูมิภาค เหตุการณ์เหล่านี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่นักลงทุนต้องมีกลยุทธ์จัดพอร์ตที่ผสมผสานระหว่างความมั่นคงระยะยาว และความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือการจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite ซึ่งแบ่งพอร์ตออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ พอร์ตส่วนหลัก (Core) ประมาณ 70–80% ที่เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพ เช่น กองทุนรวมหุ้นทั่วโลก หุ้นขนาดใหญ่ พันธบัตรหรือตราสารหนี้คุณภาพดี และพอร์ตส่วนน้อย (Satellite) ประมาณ 20–30% ที่เน้นการลงทุนในธีมเศรษฐกิจใหม่หรือกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตสูงมีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลตอบแทน โดยธีมการลงทุนที่น่าสนใจในปี 2568 และแนะนำให้มีไว้ในส่วนของพอร์ต Satellite ได้แก่ หุ้นกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และกลุ่มเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งได้รับแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐและเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
แม้เครดิตภาษีรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐฯ (Federal EV tax credit) จะสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2568 นี้ แต่ตลาด EV ในสหรัฐฯ ยังมีโอกาสเติบโตด้วยแรงสนับสนุนจากนโยบายระดับรัฐและท้องถิ่นที่ยังคงส่งเสริมการใช้รถ EV อย่างเข้มแข็ง การเติบโตของตลาดรถ EV มือสองที่กำลังขยายตัว รวมถึงด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานของรถ EV ที่ยังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมความมั่นใจให้กับนักลงทุน
ด้านจีนเองก็มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม EV ผ่านมาตรการ “anti-involution” ของรัฐบาลจีน ซึ่งมุ่งลดการแข่งขันแบบทำลายกันเองหรือสงครามราคา โดยมีการควบคุมการใช้นโยบายลดราคา กำกับราคาจำหน่าย และส่งเสริมการควบรวมอุตสาหกรรม เพื่อรักษากำไรและคุณภาพในระยะยาว นโยบายที่เน้น “value over volume” นี้ยังช่วยผลักดันการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น แบตเตอรี่ solid-state และระบบขับขี่อัจฉริยะด้วย AI ซึ่งทำให้หุ้นกลุ่ม EV กลับมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกอีกครั้ง
สำหรับธีมหุ้นเทคโนโลยี Blockchain การลงนามในกฎหมาย GENIUS Act ของสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะเป็นกฎหมายฉบับแรกที่กำหนดกรอบการกำกับดูแลแบบครบวงจรสำหรับการออกและใช้ Stablecoin โดยระบุชัดเจนว่า Stablecoin ที่ออกในสหรัฐฯ ต้องมีการสนับสนุนด้วยสินทรัพย์สำรองเต็มจำนวน (100% Reserve) และอยู่ภายใต้ข้อกำหนดด้านการป้องกันการฟอกเงิน (AML) และการตรวจสอบข้อมูลลูกค้า (KYC) อย่างเคร่งครัด
การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยกระตุ้นการลงทุนจากภาคธนาคารและสถาบันการเงินสำคัญ เช่น JPMorgan, Visa และ Mastercard ที่เริ่มทดลองใช้ Stablecoin หรือเทคโนโลยี Blockchain ในการชำระเงิน รวมถึงข่าวการเตรียมออก Stablecoin ของ Amazon และ Walmart เพื่อลดค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต ซึ่งช่วยสร้างความน่าสนใจในภาคธุรกรรมจริง และเปิดโอกาสให้บริษัทเทคโนโลยีเข้ามาร่วมแข่งขันในตลาดที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากการเก็งกำไร สู่โครงสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีกรอบนโยบายรองรับอย่างชัดเจน เป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่ม Blockchain, Crypto Infrastructure, Fintech และบริษัทเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
การเสริมกองทุนธีมการลงทุน หรือ thematic funds เช่น ธีม EV และ Blockchain ไว้ในพอร์ต Satellite จึงเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มโอกาสเติบโตให้กับพอร์ตโดยรวม พร้อมรองรับเทรนด์เศรษฐกิจใหม่ในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้น การทยอยลงทุนด้วยวิธี DCA (Dollar Cost Averaging) โดยเฉพาะการลงทุนในธีมเหล่านี้ที่มีความผันผวนด้านราคาสูงกว่าตลาดหุ้นโดยรวม จะช่วยเฉลี่ยต้นทุนและช่วยลดความเสี่ยงการขาดทุนจากจังหวะตลาดที่ผันผวนรุนแรงได้อีกด้วย
ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การลงทุนไม่ใช่เพียงการแสวงหาผลตอบแทนในระยะสั้น แต่คือการวางรากฐานเพื่ออนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน การจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite คือการผสมผสานระหว่างความมั่นคงและความกล้าในการเปิดรับโอกาสใหม่ๆ ที่อาจกลายเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในวันข้างหน้า
ธีม EV และ Blockchain ไม่ใช่แค่กระแส แต่คือการสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของโลกการเงินและอุตสาหกรรม หากนักลงทุนสามารถมองเห็นแนวโน้มเหล่านี้และปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับอนาคต ก็จะสามารถสร้างความได้เปรียบในระยะยาวได้อย่างแท้จริง เพราะการลงทุนที่ดี ไม่ได้เริ่มจากคำถามว่า “จะได้ผลตอบแทนเท่าไร” แต่เริ่มจากคำถามว่า “เรากำลังลงทุนในโลกแบบไหน” และ “เราพร้อมรับมือกับอนาคตหรือยัง”
โดย คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด