Money DIY 4.0 by SCBAM : ความกังวลภาวะเงินเฟ้อสูง กับทิศทางนโยบายการเงินของไทย

3 สิงหาคม 2565

          อัตราเงินเฟ้อไทยเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ปลายปี 2564 และได้ปรับตัวเกินขอบบนของเงินเฟ้อเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ร้อยละ 3 ตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2565 เป็นต้นมา และภายหลังจากเงินเฟ้อพุ่งสูงเกินคาดในเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน หลายคนจึงตั้งคำถามถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าจะทนต่อแรงกดดันเงินเฟ้อสูง และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งส่งผลต่อค่าเงินบาทอย่างหนักหน่วงนี้ได้ถึงเมื่อไหร่ 

          การปรับเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในไทย ณ ปัจจุบัน สาเหตุหลักมาจากต้นทุนสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น (cost-push inflation)  นำโดยสินค้านำเข้า ซึ่งได้รับผลกระทบจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ 1) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก โดยเฉพาะน้ำมัน ที่พุ่งสูง อันเป็นผลจากความขาดแคลนของวัตถุดิบต่างๆ หลังการแพร่ระบาดของโควิด และสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ยิ่งกดดันทำให้ราคาสินค้าโดยเฉพาะราคาพลังงานของทั้งโลกปรับตัวสูงขึ้นไปอีก รวมไปถึงราคาสินค้าทางเกษตรบางประเภทที่รัสเซียเป็นผู้ส่งออกสำคัญของโลกก็ได้รับผลกระทบไปด้วย 2) การอ่อนค่าของเงินบาท ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการอื่นๆ จำเป็นต้องปรับเพิ่มขึ้น ปัจจัยดังกล่าวกดดันทำให้อัตราเงินเฟ้อไทยในเดือน มิ.ย. พุ่งไปสู่ระดับ ร้อยละ 7.66 สูงสุดในรอบหลายสิบปี และยังไม่มีทีท่าจะลดระดับลงในระยะเวลาอันใกล้ เนื่องจากราคาสินค้าและบริการกำลังทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามมา หลังจากราคาต้นทุนการผลิตทั้งวัตถุดิบ ค่าไฟ แก๊สหุงต้ม และน้ำมันดีเซลปรับตัวขึ้นไปก่อนหน้านี้แล้ว


          การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากของเงินเฟ้อ ทำให้ตลาดจับตามองว่าธนาคารกลางจะเข้ามามีบทบาทอย่างไร เพื่อลดผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงนี้  อย่างไรก็ตาม ธปท. คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อไทยจะอยู่ในระดับสูงในปีนี้ ก่อนจะลดเข้าสู่กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ร้อยละ 1-3 ในปีหน้า เนื่องจากเงินเฟ้อไทยเกิดจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก ในขณะที่ความต้องการซื้อสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น (demand-pull inflation)  อาจจะไม่ใช่ปัจจัยที่กดดันอัตราเงินเฟ้อในไทย เหมือนกับหลายประเทศทั่วโลก  โดย ธปท. มองว่าเงินเฟ้อประเภทนี้ มักคลี่คลายได้เองตามกลไกของตลาด ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการณ์อัตราเงินเฟ้อเผยแพร่ ณ เดือน มิ.ย. ธปท. มองว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของไทยปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 6.2 ก่อนจะลดระดับลงสู่ ร้อยละ 2.5 ในปี 2566 เมื่อ ธปท. มองว่าเงินเฟ้อเกิดจากฝั่งอุปทานและเป็นเหตุการณ์ชั่วคราว การเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ธปท. ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องอุปทานได้และยังส่งผลลบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ที่มีระดับหนี้สินภาคครัวเรือนที่สูง แต่ถึงแม้ว่าปัจจุบัน ธปท. จะประเมินว่าปัญหาเงินเฟ้อจะค่อย ๆ คลี่คลาย แต่เนื่องจากปัจจุบันส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของไทย และสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกมาก เนื่องจากธนาคารกลางของสหรัฐฯ หรือเฟด มีแนวโน้มที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีที่เหลือ เพื่อที่จะยับยั้งอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ  ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญต่อการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวก็เป็นส่วนหนึ่งที่กดดันค่าเงินบาทไทยให้อ่อนค่าลงในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น ธปท. คงไม่อาจหลีกเลี่ยงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในปีนี้  อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ ธปท. คาดว่าจะเป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้สอดคล้องกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจของไทยที่มีแนวโน้มดีขึ้นหลังจากการผ่อนคลายมาตราการของทางภาครัฐที่เกี่ยวเนื่องกับการแพร่ระบาดของโควิด

          ในแง่การลงทุนในตราสารหนี้ไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มขึ้นมากถึง 150bps จากต้นปี โดยแตะระดับสูงสุดที่ 3.42% เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ตามทิศทางของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่พุ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น เส้นอัตราผลตอบแทนไทย ยังคงมีแนวโน้มปรับขึ้นตามการผันผวนของตลาด ดังนั้น นักลงทุนควรยังคงต้องระมัดระวังโดยเฉพาะการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว เนื่องจากคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของไทยและทั่วโลกยังอยู่ในระดับสูง อีกทั้งเฟดยังมีความจำเป็นที่ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ  ขณะที่ ธปท. ส่งสัญญาณเริ่มขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดแรงกดดันไม่ให้ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างสองประเทศกว้างเกินไปจนเกิดภาวะเงินทุนไหลออกจากประเทศ โดยการลงทุนในตราสารระยะสั้นถึงกลางจะช่วยลดความผันผวนจากการลงทุนได้ นอกจากนี้ การลงทุนในตราสารหนี้ที่อ้างอิงกับอัตราเงินเฟ้อ หรืออัตราดอกเบี้ยลอยตัวน่าจะเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่ดีในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้น ขณะที่ในช่วงปลายปี อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้มีแนวโน้มชะลอลงได้ จากความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ซึ่งจะสร้างความต้องการต่อสินทรัพย์ปลอดภัยในระยะถัดไป

 

โดย คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย​
        ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร​
        บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด