มันนี่ ดีไอวาย 4.0 by SCBAM : ลงทุนอย่างไรในสภาวะดอกเบี้ยต่ำ

3 มีนาคม 2563

       เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายทางการเงิน หรือ กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์จากการประชุมให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.25% เป็น 1.00% ต่อปี ซึ่งเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี ในสภาวะเช่นนี้ พฤติกรรมการลงทุนที่ทั่วโลกเริ่มเห็นคือ การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงเพื่อโอกาสเพิ่มผลตอบแทน (search for yield behavior) วันนี้ ผมจึงอยากขอแนะนำแนวทางการลงทุนที่เหมาะกับสภาวะดอกเบี้ยต่ำโดยที่ยังควบคุมความเสี่ยงในการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับนักลงทุน

       ในช่วงสภาวะดอกเบี้ยต่ำนั้น นักลงทุนอาจมุ่งเน้นเสาะหาอัตราผลตอบแทนที่สูงเป็นหลัก โดยที่ลืมคำนึงถึงระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ คำแนะนำที่ผมอยากให้นักลงทุนทุกท่านคือ การไม่ละทิ้งการจัดสรรการลงทุนแบบกระจายหมวดสินทรัพย์เพื่อบริหารความเสี่ยงของพอร์ต และคงถือครองหมวดสินทรัพย์ที่ลดความผันผวน เช่น ตราสารหนี้ระยะยาว และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน

       การลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าการถือครองจนครบกำหนดอายุและรับอัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้ตามหน้าตั๋วในระดับต่ำในสภาวะดอกเบี้ยต่ำ โดยนักลงทุนสามารถทำกำไรจากส่วนต่างของราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต (Capital gain) การเพิ่มขึ้นของ valuation ตราสารหนี้ในสภาวะดอกเบี้ยต่ำนั้น เริ่มสามารถเห็นได้ชัดในตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่แม้มีการลดดอกเบี้ยลงมาแล้วถึง 800 ครั้งตั้งแต่ Lehman Brothers Crisis ในปี 2551 แต่ราคาตราสารหนี้โดยรวมยังเพิ่มขึ้นต่อไปได้ เนื่องมาจากความระแวงของนักลงทุนต่อตลาดหุ้นที่เคยถล่มรุนแรง นักลงทุนในสหรัฐฯ จึงยังเลือกกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ที่เป็นหมวดสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคงที่ แม้จะไม่สูงมากเพื่อปกป้องเงินต้น ทำให้ราคาของตราสารหนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ แม้ดอกเบี้ยนโยบายยังคงถูกปรับลดลงต่อไป

       อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์ตราสารหนี้บางชนิดก็ไม่เหมาะกับสภาวะดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนควรระมัดระวังในการลงทุนตราสารหนี้เอกชนชนิด High Yield ซึ่งอาจดูน่าสนใจด้วยผลตอบแทนที่ดูสูงกว่า หากแต่ว่าในสภาวะดอกเบี้ยต่ำนั้น ธุรกิจมีแนวโน้มที่จะก่อหนี้เพิ่มขึ้นจากภาระดอกเบี้ยที่ต่ำลง เป็นความเปราะบางทางการเงินของภาคธุรกิจ ตราสารหนี้เอกชนชนิด High Yield จึงมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้สูงกว่าปกติ หากนักลงทุนต้องการเพิ่มผลตอบแทนโดยการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ชนิด High Yield ผมขอแนะนำการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่ผู้บริหารกองทุนได้คัดเลือกสินทรัพย์ผู้ออกตราสารที่มีคุณภาพ คำนวณความเสี่ยง และวางขีดจำกัดของสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ชนิด High Yield มาแล้ว เพื่อลดความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้

       

       อีกหมวดสินทรัพย์ที่เหมาะกับสภาวะดอกเบี้ยต่ำคือการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน (REITs, Property Funds และ Infrastructure Funds) โดยหมวดสินทรัพย์นี้สามารถให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอแก่นักลงทุนด้วยลักษณะธุรกิจที่ผูกพันธ์ด้วยสัญญาค่าเช่าหรือค่าบริการระยะยาว ช่วยลดความเสี่ยงอัตราเงินเฟ้อ (inflation hedge) และยังถือว่ามีแรงป้องกันความผันผวนของเศรษฐกิจได้สูงกว่าตลาดหุ้น

       ถึงแม้สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศจะผันผวนก่อให้เกิดผลกระทบในตลาดทุนและหลายหมวดสินทรัพย์ นักลงทุนก็มิควรที่จะลืมคำนึงถึงการบริหารความเสี่ยงนอกจากการเสาะหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น ในปัจจุบันมีกองทุนรวมหลากหลายที่สามารถสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอในขณะที่มีการบริหารความเสี่ยงจากการกระจายการลงทุนในหลายหมวดสินทรัพย์ที่เหมาะกับสภาวะดอกเบี้ยต่ำ เช่น กองทุนรวมกลุ่ม  Income -Focused, กองทุนรวมตราสารหนี้ หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานทั้งในประเทศและต่างประเทศ

       อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษานโยบายการลงทุนของกองทุนรวม และทำความเข้าใจความเสี่ยงของการลงทุนในกองทุนประเภทต่างๆ ก่อนที่จะลงทุนด้วยนะครับ

 

โดย คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย​
        ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร​
        บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด