อัพเดทสถานการณ์การลงทุน : มุมมองการลงทุนช่วงตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนในระดับที่สูงมาก

17 มีนาคม 2563

       ตลาดหุ้นทั้งโลกกำลังเผชิญกับความผันผวนในระดับที่สูงมาก อันเป็นผลกระทบจากปัจจัยที่มีนัยพร้อมๆ กันในช่วงเวลาเดียวกัน  ได้แก่

       1) การแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ที่กระจายออกไปเป็นวงกว้างมากขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนที่เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในประเทศแถบยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่ยังมีอากาศเย็นและยังไม่ค่อยตระหนักในความสำคัญจึงมิได้มีมาตรการป้องกันดูแลเท่าที่ควร ทำให้เอื้อต่อการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว จนกระทบกับการบริโภคและภาคธุรกิจต่างๆ จึงเกิดเป็นความกังวลด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจว่าจะชะลอมากยิ่งขึ้นไปจนถึงมีโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ ถ้าการระบาดยังต่อเนื่องยาวนาน  

       2) ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในชั่วข้ามคืน หลังจากกลุ่มประเทศ OPEC และรัสเซียไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในเรื่องการลดกำลังการผลิตได้ จึงเกิดภาวะสงครามราคาน้ำมันขึ้น โดยราคาน้ำมันปรับลดลงอย่างรุนแรงทันทีกว่า 30%  (Brent ปรับลดลงจากระดับ $50  สู่  $31.2 per barrel หรือ -37%) ส่งผลกระทบต่อผลกำไรที่จะต้องลดลงและราคาหุ้นในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน เช่น บริษัทขุดเจาะน้ำมัน โรงกลั่น และปิโตรเคมี ฯลฯ ซึ่งหุ้นเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญในตลาดหุ้น โดยเฉพาะในตลาดไทย ซึ่งมีสัดส่วนหุ้นในกลุ่มนี้รวมกันประมาณเกือบ 30%  ของตลาด

       

       จากทั้งสองปัจจัยหลักที่กล่าวมาทำให้ต้องปรับประมานการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนกันใหม่มากน้อยตามผลกระทบที่ได้รับ ซึ่งโดยรวมปรับลดลงประมาณ 10% หากเหตุการณ์นี้ยาวนานต่อเนื่องประมาณ 3 เดือน แต่เนื่องจากโรคระบาดไม่ใช่สิ่งที่จะใช้มาตรการมาควบคุมดูแลให้ได้ผลตามที่ต้องการและในเวลาที่ต้องการได้  นักลงทุนจึงชะลอการเข้าลงทุน มีแต่แรงขายหุ้นโดยไม่มีแรงซื้อเกิดเป็นภาวะ Risk off ราคาหุ้นทุกตัวจึงปรับลดลงอย่างมากไม่ว่าจะได้รับผลกระทบเท่าใดก็ตาม ซึ่งหากพิจารณาปัจจัยทางด้านพื้นฐานในเชิงลึกแล้วจะพบว่ามีหุ้นหลายตัวที่ราคาปรับตัวลงมากกว่าผลกระทบที่จะได้รับจริง 

       ในช่วงที่ตลาดหุ้นโดยรวมยังคงมีความผันผวนต่อเนื่องตามข่าวดีข่าวร้ายรายวัน และความเชื่อมั่นในการลงทุนยังอยู่ภาวะเปราะบาง ผู้จัดการกองทุนได้ปรับเพิ่มสัดส่วนการถือครองเงินสดเป็นประมาณ 10 -15 % เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดหุ้นต่อพอร์ตการลงทุน  รวมถึงปรับพอร์ตการลงทุนในโดยรวมให้ Defensive มากขึ้น เพิ่มการกระจายความเสี่ยง และคัดเลือกลงทุนในหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อย มีฐานะการเงินแข็งแรง จะมีการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงหรือสม่ำเสมอในฤดูการปันผลที่กำลังเป็นอยู่นี้ และเข้าสะสมบ้างในหุ้นคุณภาพที่ราคาปรับตัวลงมามากต่ำกว่ามูลค่าทางปัจจัยพื้นฐานเกินไป ซึ่งคาดว่าราคาของหุ้นเหล่านี้จะสามารถปรับตัวกลับขึ้นได้เร็วหลังจากที่สถานการณ์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น

       แม้ว่าภาวะการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นนี้ยากที่จะคาดการณ์ได้ว่าจะจบลงเมื่อใด อาจจะกินเวลาถึง 3 – 6 เดือนได้ แต่เนื่องจากจัดเป็นปัจจัยระยะสั้น เมื่อจบแล้วจะประเมินผลกระทบได้ค่อนข้างชัดเจน ไม่กระทบยืดเยื้อยาวนาน (One Time Effect) ประกอบกับที่ในระหวางนี้รัฐบาลทั่วโลก ช่วยกันออกมาตรการเยียวยาทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เช่นการพิมพ์เงินเพิ่มสภาพคล่อง การลดอัตราดอกเบี้ย ฯลฯ เพื่อประคองภาวะเศรษฐกิจไว้ นโยบายเหล่านี้จะทำให้ Risk & Reward จากการลงทุนในหุ้นมีความคุ้มค่าน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งจะดึงความเชื่อมั่นในการลงทุนให้กลับคืนมา กองทุนจึงมีการเตรียมความพร้อมอยู่เสมอที่จะกลับเข้าไปลงทุนเพิ่มเมื่อเห็นสัญญาณว่าตลาดจะทรงตัวได้และพร้อมจะกลับทิศทางเป็นขาขึ้น โดยคาดว่าในช่วงแรกราคาหุ้นจะปรับขึ้นอย่างรวดเร็วและแรง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่ปรับตัวลงมามากจนเกินไปจากเหตุการณ์ข้างต้น