Insights Digest : Healthy Market Correction เมื่อตลาดปรับฐาน เปิดโอกาสการลงทุน

24 มีนาคม 2568

         ความกังวลต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยและระดับ Valuation ที่ตึงตัว ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการปรับตัวลงเร็วและแรง แต่เราคาดว่าเป็นการปรับฐานชั่วคราว ไม่ใช่ตลาดขาลง (Bear Market) บนสมมุติฐานหลักที่คาดว่า สุดท้ายนโยบายภายใต้ Trump 2.0 อาจส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง แต่ไม่ถึงขั้นถดถอย, Fed ยังดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไปและเทคโนโลยี AI จะเริ่มหนุนประสิทธิภาพการทำงานและกำไรบริษัท โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ในหลายอุตสาหกรรม, กลุ่ม Software และ Platform ต่างๆ   ทั้งนี้ จากการประเมินแนวรับเชิงสถิติในอดีตและเชิงปัจจัยพื้นฐาน พบว่า ระดับราคาของดัชนี S&P500 และ NASDAQ100 ในปัจจุบัน ถือว่าปรับลงมาลึกมากพอสมควร น่าสนใจทยอยสะสมเพื่อคาดหวังการฟื้นตัวในระยะถัดไป

         กองทุนแนะนำ ได้แก่ SCBS&P500A และ SCBNDQ(A)

 

ตลาดหุ้นปรับฐานจากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย

         ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงเร็วและแรง ตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ก.พ. เพราะนักลงทุนกลับมากังวลต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยอีกครั้ง หลังจากการรายงานดัชนีเศรษฐกิจสหรัฐฯ เดือน ม.ค.ออกมาชะลอตัว สะท้อนจากโมเดล GDPNow ของ Fed Atlanta ณ วันที่ 6 มี.ค. คาดว่า GDP 1Q25 ของสหรัฐฯ จะพลิกเป็นลบราว 2.4% (Fig.1) ประกอบกับความไม่แน่นอนของนโยบายภายใต้ Trump2.0 กดดันความเชื่อมั่นของภาคเอกชนและครัวเรือนสหรัฐฯ

         ทั้งนี้ เราประเมินว่ายังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่สภาวะถดถอยในระยะอันใกล้ เนื่องจากดัชนีเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว ส่วนหนึ่งมาจากการเร่งนำเข้าสินค้าของผู้ประกอบการ (Fig.2) ภายใต้ความไม่แน่นอนนโยบายการค้า รวมถึงปัจจัยชั่วคราวด้านสภาพอากาศที่หนาวเย็นที่สุดนับตั้งแต่ปี 1988 และไฟไหม้ครั้งใหญ่ใน California ได้กดดันบรรยากาศการบริโภคในช่วงต้นปี (Fig.3) หากพิจารณาภาคครัวเรือนสหรัฐฯ จะพบว่ายังคงเห็นแนวโน้มความมั่นคั่งสุทธิเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2023 (Fig.4) สะท้อนกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะพร้อมกลับมาบริโภคมากขึ้น หากปัจจัยกดดันข้างต้นเริ่มคลี่คลาย

มองตลาดหุ้นรอบนี้แค่ “ปรับฐาน” ยังไม่เข้าสู่ “ตลาดหมี”

         สถิติในอดีตตั้งแต่ปี 1966 (Fig.5) พบว่า ดัชนี S&P500 ปรับตัวลงแรงมากกว่า -20% ขึ้นไป (Bear Market) เกิดขึ้นทั้งหมด 10 ครั้ง ในรอบ 56 ปี หรือเฉลี่ยคร่าว ๆ ประมาณ 1 ครั้งในรอบ 5-6 ปี ซึ่ง Bear Market รอบล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นไปในช่วงปลายปี 2022 หรือประมาณ 2 ปีเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้น Bear Market ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับเศรษฐกิจถดถอย (Recession) 7 จาก 10 ครั้ง หรือวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น (Rate Hike Cycle) 2 จาก 10 ครั้ง

         การคาดการณ์ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดจาก Fed พบว่า GDP สหรัฐฯ จะยังขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงที่ 1.7%YoY และ Dot Plot ยังบ่งชี้การลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 50bps ในปีนี้ (Fig.6) สอดคล้องกับที่เราประเมินว่าจะยังไม่เกิด Recession หรือ Rate Hike Cycle ในปีนี้ ดังนั้น การปรับตัวลงรอบนี้ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ น่าจะเป็นการปรับฐานชั่วคราวมากกว่าการเข้าสู่ Bear Market โดยคาดหวังการฟื้นตัวในระยะ 1-6 เดือนถัดไป หลังจบการพักฐาน (Fig.7)

ประเมินแนวรับเชิงสถิติ

         หากประเมินแนวรับของการปรับฐานรอบนี้ จากการวิเคราะห์เชิงสถิติในอดีต ตั้งแต่ปี 1990 จะพบว่า ดัชนี  S&P500 และดัชนี  NASDAQ100 รอบปัจจุบันปรับตัวลงมา -8% และ    -11% ตามลำดับ ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีตแล้วที่ -7% และ -9% ตามลำดับ แต่การปรับฐานรอบนี้ของทั้ง 2 ดัชนี อาจใกล้เคียงกับรอบการปรับฐานช่วงกลางปีก่อนที่มีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยเหมือนกัน ซึ่ง S&P 500 ปรับตัวลงราว -8% และ NASDAQ 100 ปรับตัวลง -14% ดังนั้น การพักฐานรอบปัจจุบันอาจมีความเสี่ยงขาลงเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย แต่ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจทยอยสะสมแล้วเช่นกัน   

ประเมินแนวรับเชิงพื้นฐาน

         หากพิจารณา แนวรับของการปรับฐานรอบนี้ ผ่านข้อมูลเชิงพื้นฐานทั้งในด้านการเติบโตกำไรบริษัทจดทะเบียนและระดับ Valuation ควบคู่กันเพื่อประเมินหาแนวรับสำคัญในการเข้าสะสมลงทุน โดยใช้ข้อสังเกตจากข้อมูลในอดีต ดังนี้

         • ดัชนี S&P500: ด้านการเติบโตกำไรต่อหุ้น ดัชนี S&P500 หากไม่อยู่ในช่วงปีที่เกิดวิกฤติหรือปีหลังวิกฤติ ประมาณการกำไรเมื่อเทียบช่วงต้นปีกับสิ้นปี มักจะไม่ถูกปรับขึ้นหรือลงมากนัก โดยค่าเฉลี่ย 10 ปี อยู่ที่ราว -0.05% ด้านระดับ Valuation หากอ้างอิงจากการปรับฐานช่วงกลางปี 2024 ที่มีความกังวลเรื่อง Recession พบว่า ดัชนี S&P500 มีการถูก De-rating ระดับ PE Band ลงมาจาก +1.8SD สู่ +1SD

         • ดังนั้น บนสมมุติฐานที่ค่อนข้าง Conservative ที่ให้ EPS Revision ปรับลงราว 1-2% และ 12M Forward P/E ลงมาซื้อขายบริเวณ +1SD คาดว่า ดัชนี S&P500 จะมีแนวรับสำคัญเชิงพื้นฐาน ที่ราว 5,550-5,600 จุด

         • ดัชนี NASDAQ100: ด้านการเติบโตกำไรต่อหุ้น ดัชนี NASDAQ100 ประมาณการกำไรเมื่อเทียบช่วงต้นปีกับสิ้นปี มักจะถูกปรับขึ้นเป็นส่วนใหญ่ โดยค่าเฉลี่ย 10 ปี อยู่ที่+10% ด้านระดับ Valuation หากอ้างอิงจากการปรับฐานช่วงกลางปี 2024 ที่มีความกังวล Recession พบว่า ดัชนี NASDAQ100 มีการถูก De-rating ระดับ P/E Band ลงมาจาก +1.5SD สู่ระดับ +0.5SD.

         • ดังนั้น บนสมมุติฐานที่ค่อนข้าง Conservative ที่ให้ EPS Revision ไม่ปรับขึ้นเลยหรือปรับเพิ่มแค่ +3% ซึ่งใกล้เคียงกับหลายปีในอดีตก่อนยุค AI Boom และ 12M Forward P/E ลงมาที่ระดับ +0.5SD NASDAQ100 จะมีแนวรับสำคัญเชิงพื้นฐานราว 19,400-20,000 จุด

กลยุทธ์การลงทุนและกองทุนแนะนำ

กองทุนแนะนำ SCBS&P500A และ SCBNDQ(A)

         • สำหรับนักลงทุน สายเก็งกำไรลุ้นการฟื้นตัวระยะสั้น: ดัชนี S&P500 และดัชนี NASDAQ100 เริ่มเข้าสภาวะ Oversold มีโอกาสลุ้นการฟื้นตัว สามารถเก็งกำไรลุ้นการฟื้นตัวได้ โดยอาจพิจารณาขายทำกำไรตามแนวต้าน ดัชนี S&P500 บริเวณ 5,880-5,900 จุด และดัชนี NASDAQ100 บริเวณ 20,700-20,900 จุด 

         • สำหรับนักลงทุน คาดหวังการฟื้นตัวระยะกลาง 3 เดือนขึ้นไป: ดัชนี S&P500 และดัชนี NASDAQ100 ยังมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นในระยะกลาง-ยาว สามารถทยอยสะสมลงทุนตามแนวรับเชิงพื้นฐานที่ได้ประเมินไว้ ดัชนี S&P500 แนะนำบริเวณ 5,550-5,600 จุด ส่วนดัชนี NASDAQ100 บริเวณ 19,400-20,000 จุด

กองทุนแนะนำ SCBRMS&P500 และ SCBRMNDQ(A)

         • สำหรับนักลงทุน คาดหวังการลงทุนระยะยาว: ดัชนี S&P500 และดัชนี NASDAQ100 ถือเป็น 2 ดัชนี ที่แม้จะมีความผันผวนสูงระยะสั้น แต่มักให้ผลตอบแทนที่ดีระยะยาว อ้างอิงสถิติในอดีต หากสามารถทยอยสะสม DCA รายเดือนอย่างต่อเนื่องในดัชนี S&P500 และ NASDAQ100 เป็นระยะเวลา 10 ปี จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 7%และ 12% ต่อปี ตามลำดับ (Fig.11) ดังนั้นการปรับตัวลงมา ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าสะสม โดยเฉพาะผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี (RMF) ที่จะได้ประโยชน์ 2 ต่อ ทั้งด้านภาษีและโอกาสของการลงทุนที่ดีในระยะยาว

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และขอรับหนังสือชี้ชวน ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขา หรือ บลจ.ไทยพาณิชย์ โทร. 02-777-7777, www.scbam.com