SHARE
23 พฤษภาคม 2567
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีนในระยะสั้น โดยมองเห็นโอกาสสำหรับการ Trading กรอบระยะเวลาประมาณ 1-3 เดือน ด้วยปัจจัยหนุนจากภาพเศรษฐกิจจีนที่เริ่มมีสัญญาณที่ดี และรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในฝั่งตลาดทุน และภาคอสังหาริมทรัพย์ จึงเห็นกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นจีนต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้การลงทุนเพื่อคาดหวังการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนในระยะกลาง-ยาว ยังคงต้องติดตามสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องและชัดเจนกว่านี้ เพื่อขับเคลื่อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศ และหากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเริ่มส่งผลบวกต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน จนนำไปสู่การปรับประมาณการของนักวิเคราะห์ในตลาด ก็น่าจะช่วยเสริมความมั่นใจของนักลงทุนในระยะถัดไป
ดังนั้น นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง และมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน มองเป็นโอกาส Trading ระยะสั้น ในกองทุนประเภท Passive Fund
กองทุนแนะนำ สำหรับหุ้นจีน A-Shares คือ SCBCHA และหุ้นจีน H-Shares คือ SCBCE

เศรษฐกิจมีโอกาสผ่านพ้นจุดต่ำสุด
- ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว: GDP ไตรมาส 1/2567 ของจีน ออกมาขยายตัว 5.3%YoY ดีกว่าที่ตลาดคาด ส่งผลให้นักวิเคราะห์มีการปรับคาดการณ์การเติบโตของ GDP จีนปีนี้เพิ่มขึ้น โดยปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมาจากภาคการผลิตเป็นหลัก โดยล่าสุดการรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตทั้งจากการรายงานของ Official NBS และ Caixin ในเดือน เม.ย. ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูงกว่า 50 อย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ถึงการผลิตของธุรกิจขนาดเล็ก-ใหญ่มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น (Fig.1) ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้การส่งออกของจีนยังคงสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง สะท้อนจากยอดส่งออกล่าสุดในเดือน เม.ย. ที่กลับมาขยายตัว (Fig.2) ทั้งนี้การส่งออกถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน เนื่องจาก เราจะเห็นว่าเศรษฐกิจจีนมีการพึ่งพาการส่งออกเพิ่มขึ้นมาก หลังจากการบริโภคภายในประเทศยังคงอ่อนแอ

รัฐบาลจีนเร่งออกมาตรการกระตุ้นตลาดทุน และภาคอสังหาริมทรัพย์
- มาตรการปฏิรูปตลาดทุน: เมื่อวันที่ 12 เม.ย. China Securities Regulatory Commission (CSRC) เปิดเผยแนวทาง “9 มาตรการปฏิรูปตลาดทุน” โดยมีประเด็นสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ เน้นมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการ, ยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียน และมุ่งสร้างผลประโยชน์ให้นักลงทุนผ่านการจ่ายปันผลและซื้อหุ้นคืนมากขึ้น เพื่อเป็นการยกระดับตลาดหุ้นจีนให้มีความโปร่งใสมากขึ้น ซึ่งในอดีตมักจะส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นได้ดี (Fig.3) นอกจากนั้น ยังได้ประกาศ 5 มาตรการเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาตลาดหุ้นฮ่องกง เช่น ผลักดันบริษัทชั้นนำให้ทำการเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดหุ้นฮ่องกงมากขึ้น รวมทั้งล่าสุดมีรายงานว่า หน่วยงานกำกับดูแลด้านกฎระเบียบกำลังพิจารณาข้อเสนอที่จะยกเว้นให้นักลงทุนทั่วไปไม่ต้องจ่ายภาษีเงินปันผลที่ได้รับจากหุ้นที่ซื้อผ่านโครงการ Stock Connect ในตลาดหุ้นฮ่องกง ส่งผลให้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าซื้อสุทธิในตลาดหุ้นจีนมากขึ้น (Fig.4)

- มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์: รัฐบาลกลางจีนกำลังพิจารณาให้รัฐบาลท้องถิ่นเข้าซื้อบ้านที่ค้างสต๊อก โดยจัดตั้งกองทุน 3 แสนล้านหยวน เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนกระจายไปยังสถาบันการเงินของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ รวมทั้ง ยกเลิกดอกเบี้ยขั้นต่ำสำหรับสินเชื่อบ้าน ทั้งบ้านมือหนึ่งและมือสองสำหรับที่อยู่อาศัยส่วนบุคคลเพื่อการพาณิชย์ทั่วประเทศ และลดจำนวนเงินดาวน์บ้านมือหนึ่งและมือสองลง 5% เพื่อมุ่งแก้ไขปัญหาอุปทานล้นตลาด และลดสินค้าคงคลัง ซึ่งจะเป็นการปรับสมดุลอุปสงค์-อุปทาน ทำให้ราคาบ้านมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ปัญหาในภาคอสังหาฯ ของจีนไม่เลวร้ายลงกว่าเดิม
มุมมองด้านระดับมูลค่า (Valuation)
- ระดับมูลค่าหุ้นจีนอยู่ในระดับไม่แพง: ดัชนีตลาดหุ้นจีน MSCI China และ CSI300 มีระดับมูลค่าที่ยังไม่แพง หากพิจารณาจาก 12M Forward P/E อยู่แถวระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง ซึ่งเป็นระดับที่ถูกกว่าหลายดัชนีหลักทั่วโลก เช่น MSCI ACWI, S&P500, Nikkei225, TWSE และ NIFTY50 (Fig.5)

การฟื้นตัวของตลาดหุ้นในระยะกลาง-ยาว ยังมีหลายปัจจัยกดดัน
- การบริโภคในประเทศยังคงอ่อนแอ: ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศ ที่ยังไม่ค่อยกล้าจับจ่ายใช้สอย เห็นได้จากอัตราการออมเงินของคนจีนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดโรค COVID-19 (Fig.6) ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจจีนยังคงอ่อนแอ สะท้อนไปยังดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ยังคงหดตัว หรือ ขยายตัวในระดับต่ำ (Fig.7)
- ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน: แม้ว่าทางการจะมีการผ่อนคลายมาตรการในภาคอสังหาฯ ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่เรามองว่าเป็นเพียงการประคับประคองสถานการณ์ไม่ให้เลวร้ายลงกว่าเดิม และอาจต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะกลับมาฟื้นตัว สะท้อนจากการลงทุนในภาคอสังหาฯ และราคาบ้านหดตัวต่อเนื่อง (Fig.8)
- กำไรบริษัทจดทะเบียนยังคงถูกปรับคาดการณ์กำไรลดลง: แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการผลิตและการส่งออก แต่การบริโภคภายในประเทศที่ยังซบเซา ส่งผลให้คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนยังคงถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง (Fig.9) ทั้งนี้หากเริ่มเห็นการฟื้นตัวของผลประกอบการ หรือ คาดการณ์กำไรถูกปรับเพิ่มขึ้น จะเป็นสัญญาณที่ดีต่อการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนที่แข็งแกร่งและชัดเจนขึ้น

คำแนะนำเชิงกลยุทธ์
- กลยุทธ์การลงทุน: ในระยะสั้น สามารถทยอยสะสมลงทุนตลาดหุ้นจีน โดยเน้นการเก็งกำไรเป็นรอบ (Trading) กรอบระยะเวลาประมาณ 1-3 เดือน และใช้แนวโน้มทางเทคนิคประกอบการพิจารณาลงทุน ขณะที่มุมมองการลงทุนในระยะกลาง-ยาว ยังต้องระมัดระวัง ต่อภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ที่อาจต้องเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนกว่านี้ โดยเฉพาะการบริโภคในประเทศ และภาคอสังหาฯ ที่ยังคงอ่อนแอ รวมทั้งหากคาดการณ์กำไรตลาดหุ้นถูกปรับเพิ่มขึ้น จะเป็นสัญญาณที่ดีต่อการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนในระยะกลาง-ยาว
- แนวโน้มทางเทคนิค:
- CSI300: ปรับตัวขึ้นมาช้ากว่า HSCEI ทำให้ Upside ระยะสั้นค่อนข้างน่าสนใจ แนวต้านแรก 3,697 จุด ถัดไป 3,854 จุด

HSCEI: ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างเร็วตั้งแต่ช่วงปลายเดือน เม.ย. มาใกล้แนวต้านบริเวณ 7,020 จุด ระยะสั้นมีโอกาสพักก่อน โดยมีแนวรับบริเวณ 6,720-6,880 จุด หากไม่หลุดแนวรับดังกล่าว มีโอกาสกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านระยะกลาง 7,318 จุด

- กองทุนแนะนำ: เนื่องจากเรามองโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นจีนที่เน้นการเก็งกำไรระยะสั้น จึงแนะนำลงทุนในกองทุนแบบ Passive Fund ที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง กองทุนแนะนำสำหรับหุ้นจีน A-Shares คือ SCBCHA หรือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นจีนเอแชร์ เป็นกองทุนประเภท Passive Fund ที่ลงทุนในกองทุนหลัก คือ ChinaAMC CSI 300 Index ETF โดยมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี CSI 300 เพื่อให้ผลการดำเนินงานของกองทุนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี CSI 300 โดยกองทุนนี้มีทั้งชนิดจ่ายเงินปันผล (SCBCHA) และชนิดสะสมมูลค่า (SCBCHAA) กองทุนแนะนำสำหรับหุ้นจีน H-Shares คือ SCBCE หรือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีน เป็นกองทุนประเภท Passive Fund ที่ลงทุนในกองทุนหลัก คือ Hang Seng China Enterprises Index ETF โดยมีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนกองทุนใกล้เคียงหรือเทียบเท่ากับผลตอบแทนของดัชนี HSCEI โดยกองทุนนี้มีทั้งแบบไม่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (SCBCE) และแบบป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 (SCBCEH)
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน SSF และ RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และขอรับหนังสือชี้ชวน ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขา หรือ บลจ.ไทยพาณิชย์ โทร. 02-777-7777 www.scbam.com