Fund Finder: เจาะหุ้นกลุ่ม Semiconductor ถึงเวลาขาขึ้นรอบใหม่แล้วหรือยัง?

15 กรกฎาคม 2568

          ราคาหุ้นกลุ่ม Semiconductor ปรับตัวลงแรง ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2024 จนถึงจุดต่ำสุดช่วงต้นเดือน เม.ย. 2025 ประมาณ -40% จากระดับสูงสุด แต่หลังจากนั้น เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เมื่อความต้องการชิป AI ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง ส่วนกลุ่ม Non-AI Semi เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวบ้างแล้วเช่นกัน ดังนั้น เราจึงมีมุมมองบวกต่อกลุ่ม Semi มากขึ้นในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า แต่จากราคาและมูลค่าที่ปรับขึ้นมาเร็วและแรง อาจทำให้ความผันผวนเพิ่มสูงขึ้นหรือเกิดการพักฐานขึ้นได้ระยะสั้น ทั้งนี้ เราแบ่งคำแนะนำตามประเภทของนักลงทุน สำหรับนักลงทุนแนวเก็งกำไร แนะนำเข้าลงทุนตามแนวรับที่ประเมินไว้ เพื่อลุ้นดัชนีทำจุดสูงสุดใหม่ แต่สำหรับนักลงทุนระยะกลาง 3 เดือนขึ้นไป แนะนำรอจังหวะตลาดพักฐานก่อน จึงค่อยทยอยลงทุนตามแนวรับที่ประเมินไว้ กองทุนแนะนำ คือ SCBSEMI(A)

Fund Finder

วัฏจักรของกลุ่ม Semiconductor

          โดยปกติแล้ว หุ้นกลุ่ม Semiconductor นับเป็นกลุ่มหุ้นวัฏจักร กล่าวคือ มีการขึ้นและลงเป็นรอบ ตามอุปสงค์-อุปทานของแต่ผลิตภัณฑ์ชิปที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมปลายทางเช่น Smartphone, Consumer Electronics, Data Centers, Automotive และ Industry เป็นต้นเมื่อพิจารณาจากค่าเฉลี่ยในอดีตจะพบว่า วัฏจักรขาขึ้น ใช้ระยะเวลาประมาณ 19 เดือน โดยมีผลตอบแทนเฉลี่ยราว +170% ส่วนวัฏจักรขาลงนั้นค่าเฉลี่ยอยู่ที่ราว 10 เดือนและผลตอบแทนเฉลี่ย -45% (Fig.1&2)

          รอบขาขึ้นครั้งหลังสุด เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2022 ถึงช่วงกลางปี 2024 รวมระยะเวลาราว 21 เดือน โดยให้ผลตอบแทน +173% นำโดยกลุ่มชิปประมวลผลในฝั่ง Data Centers หลังการเปิดตัวของ ChatGPT จุดกระแส Generative AI เร่งให้กลุ่ม Hyperscalers และ LLM Developers สั่งซื้อชิป GPU และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อแข่งกันพัฒนา Model ให้ฉลาดขึ้นและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ส่งผลต่อความต้องการชิป AI Training เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและผลักดันราคาหุ้นโดยเฉพาะกลุ่ม AI Semi เป็นขาขึ้นรอบใหญ่ แต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา กลุ่ม Semi เริ่มปรับฐานลงมาจนสิ้นสุดรอบขาขึ้น เนื่องจากความคาดหวังของนักลงทุนที่อยู่ระดับสูงจนเกินไป ขณะที่อัตราการเติบโตได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยความล่าช้าในการส่งมอบผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ของ Nvidia อย่าง Blackwell ยิ่งสร้างแรงกดดันเพิ่มเติม นอกจากนี้ ในช่วงต้นปี 2025 เกิดกระแส DeepSeek Moment ที่สร้างความกังวลต่อนักลงทุนว่า ความต้องการชิป AI จะถูกปรับลดลงหรือไม่ ประกอบกับนโยบายการค้าภายใต้ Trump 2.0 ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับตัวลงจนแตะระดับต่ำสุดเมื่อวันที่ 8 เม.ย. หรือ -40% จากระดับสูงสุด  



Fund Finder

 

กลุ่ม Semi เริ่มฟื้นตัวเด่น กลายเป็นขาขึ้นรอบใหม่

          หลังจากดัชนี SOX Index ทำจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2025 ดัชนีก็ฟื้นตัวแรงกว่า +54% ภายในเวลาเพียง 2 เดือน สะท้อนถึงแรงซื้อที่กลับเข้ามาอย่างชัดเจน และอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของขาขึ้นรอบใหม่ ซึ่งเราประเมินว่ามีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากทั้งระยะเวลา และขนาดของการปรับฐานใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยรอบขาลงในอดีต โดยรอบขาลงล่าสุดใช้ระยะเวลา 9 เดือน และปรับลง -40% เทียบค่าเฉลี่ยที่ 10 เดือนและปรับลง -45% (Fig.2)

          นอกจากนี้ การฟื้นตัวรอบปัจจุบันของกลุ่มหุ้น Semi มีการกระจายตัวมากขึ้น ต่างจากขาขึ้นรอบก่อน (ปี 2022-24) ที่การปรับตัวขึ้นค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มหุ้น AI Semi เป็นหลัก โดยเฉพาะหุ้น Nvidia (Fig.3) หนุนมุมมองเราที่คาดว่ากลุ่ม AI Semi จะเริ่มกระจายไปสู่ AI Inferencing มากขึ้นตาม AI Adoption ในวงกว้าง ขณะที่กลุ่ม Non-AI Semi เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกต่าง ๆ ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ตามรายละเอียดดังนี้

Fund Finder

ความต้องการ AI ยังแข็งแกร่งต่อเนื่องในปีนี้

กระแส DeepSeek เป็นตัวเร่ง Adoption ไม่ใช่ลด Demand

          กลุ่ม Big Tech ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของชิป AI ยังคงเดินหน้าลงทุนด้าน AI Infrastructure ต่อเนื่อง โดยเฉพาะ Meta ที่เพิ่ม CAPEX ขึ้นในปีนี้ (Fig.4) สวนทางความกังวลก่อนหน้านี้ว่าเทคโนโลยีอย่าง DeepSeek ซึ่งช่วยลดต้นทุนการประมวลผล AI อาจชะลอความต้องการชิปสำหรับ Training AI ลง ขณะเดียวกัน งบของ TSMC และ Nvidia ยังสะท้อนถึงความต้องการที่แข็งแกร่ง โดย Nvidia ส่งสัญญาณว่าจะเริ่มส่งมอบ ชิปรุ่น Blackwell เต็มรูปแบบในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ 

          กระแส DeepSeek Moment กลับยิ่งเร่งให้ AI ถูกนำมาประยุกต์ใช้จริงในวงกว้าง (Inferencing Stage) ทั้งนี้ Bloomberg Intelligence เคยคาดการณ์ช่วงปลายปีที่แล้วก่อนการมาของ DeepSeek ว่า รายได้จาก AI Inference จะเติบโตเฉลี่ยถึง +40% ต่อปี (CAGR) ในช่วงปี 2024–2032 (Fig.5) ดังนั้น การมาของ DeepSeek อาจช่วยเพิ่มโอกาสให้การเติบโตดังกล่าวเป็นไปตามคาดหรือสูงกว่าคาดได้เช่นกัน อีกประเด็นสำคัญคือ ความต้องการชิปจะไม่กระจุกตัวอยู่แค่ในฝั่ง AI Training อีกต่อไป แต่จะกระจายสู่ชิปที่เหมาะกับ Inferencing อย่าง ASIC หรือ NPU ซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสให้หุ้น AI Semi รายอื่นนอกเหนือจาก Nvidia เช่น Broadcom, Marvell, หรือ AMD ได้รับประโยชน์มากขึ้นในระยะถัดไป

ดีลใหญ่ AI Semi กับตะวันออกกลางและโครงการ Stargate

          การทำ Partnership กับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางได้แก่ ซาอุดิอาระเบีย ผ่านบริษัท Humain มีแผนสั่งซื้อชิป Nvidia จำนวนหลักหลายแสนตัว และมีข้อตกลงกับ AMD มูลค่า 1  หมื่นล้านเหรียญฯ เพื่อรองรับศักยภาพ AI 500 MW ภายใน 5 ปี รวมถึงข้อตกลงเบื้องต้นกับ UAE ในการนำเข้าชิป AI จาก Nvidia สูงสุด 500,000 ชิ้นต่อปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2025 เพื่อใช้ในโครงการ “Stargate UAE” ซึ่งคาดว่าจะเป็น AI Data Centers ขนาด 5GW ในอาบูดาบี ผ่านความร่วมมือบริษัท Emirati G42 ร่วมกับ Nvidia, OpenAI, Cisco, Oracle และ SoftBank

          การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ในโครงการ Stargate ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือน ม.ค. 2025 จากความร่วมมือกันระหว่าง OpenAI, SoftBank, Oracle และกลุ่มพันธมิตรเทคโนโลยีอย่าง Microsoft, Nvidia, Arm และ MGX เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ โดยคาดว่ามูลค่าการลงทุนเบื้องต้น 1 แสนล้านเหรียญฯ สำหรับการสร้าง Data Centers และจัดซื้อ GPU/AI chips พร้อมเป้าหมายระยะยาว 5 แสนล้านเหรียญฯ ในระยะเวลา 4 ปี (Fig.6)

          ดังนั้น การร่วมมือกับตะวันออกกลางและการเปิดตัวโครงการ Stargate ถือเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตระยะยาวของกลุ่ม AI Semi โดยเฉพาะ Nvidia, AMD และพันธมิตร AI รายใหญ่ใน Value Chain ทั้งด้าน Compute และ Infrastructure

Fund Finder

กลุ่ม Non-AI Semi เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว

          กลุ่ม Non-AI Semi ซึ่งเป็นกลุ่มชิปที่นำใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ นอกเหนือ Data Centers ก็เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในบางอุตสาหกรรมเช่นกัน โดย UBS คาดการณ์ว่า ความต้องการสำหรับชิปในอุตสาหกรรม Smartphone และ PC จะเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งใน 3Q25 (Fig.7) ขณะที่กลุ่ม Memory Chip เริ่มเห็นการฟื้นตัวเช่นกัน สะท้อนได้จากราคา DRAM ที่เริ่มปรับตัวขึ้นมา 1-2 เดือนแล้ว ขณะที่กลุ่ม NAND ราคาอาจยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน แต่เห็นการหยุดปรับลงและเริ่มทรงตัวมากขึ้น (Fig.8)


Fund Finder

กลุ่ม Semiconductor ปรับขึ้นแรงเกินไปหรือยัง?

          สองเดือนที่ผ่านมา กลุ่มหุ้น Semi ปรับขึ้นแรงกว่า +54% จนสร้างความกังวลว่า Upside เริ่มจำกัดแล้วหรือไม่? หากพิจารณาข้อมูลตั้งแต่ปี 1994 จะพบว่า “การปรับขึ้นแรงในช่วงฟื้นตัว” เป็นลักษณะปกติของรอบขาขึ้น แม้รอบปัจจุบันจะปรับขึ้นเร็วและแรงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ก็ยังอยู่ในกรอบที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ตัวอย่างรอบการฟื้นตัวที่น่าสนใจได้แก่ รอบปี 1998 ที่ได้แรงหนุนจาก Dotcom Boom ส่งผลให้กลุ่ม Semi ปรับขึ้น +172% ภายใน 12 เดือน (Fig.9)

          เมื่อพิจารณาระดับ Valuation ผ่าน 12M Forward P/E ของดัชนี SOX Index ปัจจุบันอยู่ที่ 24.6 เท่า หรือ +1.5SD เทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 18.3 เท่า แม้จะกลับมาอยู่ในโซนตึงตัว แต่ยังต่ำกว่าช่วงพีคปี 2021 ที่เคยพุ่งถึง 30.7 เท่า (+3SD) (Fig.10) ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบอัตราส่วนระหว่าง P/E Ratio ของ SOX Index กับ S&P500 จะอยู่ที่ 1.11 เท่า (+1SD) ซึ่งยังตึงตัวน้อยกว่าช่วง Peak เดิมเมื่อปีที่แล้วที่ 1.41 เท่า (+3SD) (Fig.11) ดังนั้น ระดับ Valuation ของกลุ่ม Semi ในปัจจุบัน กลับมาตึงตัว แต่ยังไม่ได้อยู่ในโซนที่ต้องระมัดระวังมากขนาดนั้น หากผลประกอบการยังเติบโตหรือฟื้นตัวมากกว่าตลาดคาดและส่งผลให้ถูกปรับคาดการณ์กำไรขึ้นต่อเนื่อง ก็จะช่วยเปิด Upside เพิ่มเติมได้เช่นกัน ทั้งนี้ เราจะเริ่มระมัดระวังมากขึ้น หาก Valuation ขึ้นไปเหนือ +2SD อีกครั้ง 


Fund Finder

วงกลยุทธ์ด้วยปัจจัยทางเทคนิค

          แนวโน้มหุ้นกลุ่ม Semi ระยะข้างหน้า: พิจารณาผ่าน VanEck Semiconductor UCITS ETF (SMH) ซึ่งเป็นกองทุนหลักของกองทุน SCBSEMI(A) สะท้อนภาพโมเมนตัมที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและมีโอกาสปรับขึ้นทดสอบบริเวณจุดสูงสุดเดิมที่ 49.6-50 เหรียญฯ แต่เราประเมินว่าหลังทดสอบจุดสูงสุดเดิมแล้ว ระยะถัดไปอาจเห็นการปรับย่อลงมาก่อนระดับ -6% ถึง -15% หากอ้างอิงระยะการพักตัวของรอบขาขึ้นช่วงปี 2022-2024 (Fig.13) ทั้งนี้ สำหรับภาพระยะ 3-6 เดือนข้างหน้ายังดูสดใสและมีแนวโน้มที่ SMH UCITS ETF จะทำจุดสูงสุดใหม่เช่นกัน

          กลงทุนสายเก็งกำไร: การเก็งกำไรอาจพิจารณา Follow Buy ลุ้นทดสอบหรือทะลุบริเวณจุดสูงสุดเดิมได้เช่นกัน โดยพิจารณา SMH UCITS ETF แนวรับที่เส้นค่าเฉลี่ย EMA 10 วัน บริเวณ 47 เหรียญฯ (Fig.14)

          นักลงทุนระยะกลาง: สำหรับการลงทุนระยะ 3-6 เดือน อาจรอจังหวะที่ตลาดหุ้นรวมพักฐานก่อน ค่อยทยอยแบ่งไม้ลงทุน โดยอาจพิจารณาไม้แรก SMH UCITS ETF ที่เส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 วัน บริเวณ 43-44 เหรียญฯ หรือ แนวรับสำคัญถัดไปที่เส้นค่าเฉลี่ย EMA 200 วัน บริเวณ 40-41 เหรียญฯ (Fig.14)


Fund Finder

          กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้าเงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน   สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ บลจ.ไทยพาณิชย์  โทร. 02-777-7777 กด 0 กด 6  www.scbam.com