คุยเฟื่องเรื่องกองทุน : จะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดน้ำมัน...หาก Joe Biden ชนะเลือกตั้ง

11 พฤศจิกายน 2563

       ปี 2020 ที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้ เศรษฐกิจทั่วโลกและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์รวมไปถึงตลาดน้ำมันได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยในช่วงครึ่งหลังของปี สถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ได้บ้าง อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อทิศทางในอนาคตได้แก่การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบได้ทั้งในระยะสั้นและยาว

       การเลือกตั้งของสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้มีโอกาสทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของตลาดน้ำมันโลกตามการเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงานของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ของตลาด โดยสถานการณ์การหาเสียงล่าสุดโจ ไบเดินซึ่งเป็นผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต มีผลโพลความนิยมนำโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรค Republican ที่เป็นประธานาธิบดีคนปัจจุบันอยู่ และหากฝั่งโจ ไบเดิน สามารถเอาชนะได้ หลายนโยบายพลังงานของสหรัฐฯ จะถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเริ่มตั้งแต่โอกาสที่มากขึ้นในการลดระดับการคว่ำบาตรอิหร่านและเวเนซุเอลา โดยเฉพาะอิหร่านที่คาดว่าโจ ไบเดิน อาจรื้อฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์ซึ่งก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้ถอนตัวและประกาศคว่ำบาตรในปี 2018 จนทำให้การผลิตน้ำมันดิบของอิหร่านลดลงจาก 3.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน เหลือเพียง 1.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน และหากมีการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรก็อาจทำให้ Supply น้ำมันกลับเข้าสู่ตลาดโลกได้ถึง 1-2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงและสามารถส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันได้ในระยะสั้น รวมไปถึงการลดบทบาทในการเป็นตัวกลางเจรจาระหว่างผู้ผลิตในตะวันออกกลางและรัสเซียลง ซึ่งจะทำให้ความเป็นเอกภาพของกลุ่มโอเปกและพันธมิตรลดน้อยลง ตรงกันข้ามกับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยยื่นมืออย่างเปิดเผยเจรจากับทั้งสองฝ่ายในช่วงที่เกิดความไม่ลงรอยกันก่อนหน้านี้

       ประการถัดมา ได้แก่ นโยบายลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยคาดว่าจะมีตั้งแต่การชะลอการให้ใบอนุญาตการขุดเจาะน้ำมันแห่งใหม่ ซึ่งอาจทำให้การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ลดลงกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2024 เนื่องจากเทคโนโลยี Fracking ซึ่งเป็นเทคนิคการขุดเจาะน้ำมันที่ต้องใช้น้ำและสารเคมีหลายล้านแกลลอนผ่านแรงดันสูงนั้น มีข้อถกเถียงกันว่าอาจมีการรั่วไหลของสารเคมีและก๊าซมีเทนสู่สิ่งแวดล้อมได้ รวมถึงการเพิ่มเกณฑ์เกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการก่อสร้างท่าหรือท่อขนส่งต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถส่งออกน้ำมันหรือก๊าซที่ขุดเจาะเสร็จแล้วจากแหล่งผลิตออกสู่ตลาดได้ นอกจากนี้ยังคาดว่าจะมีการยกเลิกเงินอุดหนุนและผลประโยชน์ทางภาษีต่าง ๆ ทำให้ต้นทุนผู้ผลิตในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น และอาจส่งผลบวกต่อราคาน้ำมันในระยะกลางถึงระยะยาว เนื่องจากโดยปกติแล้ว Supply น้ำมันดิบจากสหรัฐฯ มีอัตราการเติบโตสูงเพราะเป็นผู้ผลิตเอกชนซึ่งจะทำการผลิตอย่างเต็มที่ แตกต่างจากผู้ผลิตกลุ่มโอเปกที่รวมตัวกันควบคุมระดับการผลิตเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา

       

       นโยบายของโจ ไบเดินยังเน้นไปที่พลังงานสะอาดมากขึ้นซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก มีการตั้งเป้าการใช้พลังงานสะอาด 100 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2050 รวมถึงเปิดเผยแผนการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายใน 4 ปีแรกหากได้รับตำแหน่ง พร้อมทั้งตั้งเป้าลดการใช้เชื้อเพลิงที่เป็นไฮโดรคาร์บอนในอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าทั้งหมดเป็นศูนย์ภายในปี 2030 รวมถึงมาตรการจูงใจให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ และจะลงทุนสร้างสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะ 500,000 แห่งหรือเพิ่มขึ้น 5 เท่าจากปัจจุบันในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งเหล่านี้แม้เป็นเป้าหมายที่ท้าทายแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าย่อมจะส่งผลกระทบต่อภาพการใช้เชื้อเพลิงในประเทศและอาจส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบโลกด้วย

       ถึงแม้ว่าภาพรวมนโยบายด้านพลังงานของโจ ไบเดิน อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นแต่ก็มีโอกาสส่งผลบวกได้ในระยะยาวเช่นกัน และหากโจ ไบเดิน ได้รับชัยชนะ การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านพลังงานก็คาดว่าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และน่าจะเริ่มเห็นผลของนโยบายมากขึ้นในช่วงปลายปี 2021 พร้อมไปกับการติดตามการฟื้นตัวของ Demand น้ำมันจากจุดต่ำสุดที่ได้รับผลกระทบจากกการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส รวมไปถึงความคืบหน้าของการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนที่คาดว่าจะมีข่าวดีต่อตลาดพลังงานมากขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป

 

โดย คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย​
        ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร​
        บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด