Worldwide Wealth by SCBAM : ลงทุนอะไรดีปี 2022

21 มกราคม 2565

         ขอต้อนรับนักลงทุนทุกท่านเข้าสู่ปีเสือด้วยการเจาะกลยุทธ์การลงทุนในสินทรัพย์หลัก โดยในภาพใหญ่คาดว่าในปี 2565 เศรษฐกิจโลกยังคงฟื้นตัวได้ต่อเนื่องท่ามกลางการระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่ ประกอบกับการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของธนาคารกลางหลักของโลก รวมถึงการใช้นโยบายการคลังของหลายประเทศใหญ่ทั่วโลกซึ่งเป็นปัจจัยผลักดันที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเพิ่มแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหรือแผนกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่

         สำหรับสินทรัพย์ที่ยังคงโดนเด่นและเติบโตได้ในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นนั่นก็คือ หุ้น เนื่องจากเป็นตราสารที่มีโอกาสให้อัตราผลตอบแทนคาดการณ์สูงกว่าเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ / กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน / REITs ก็ยังคงช่วยป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตจากเงินเฟ้อ เนื่องจากสามารถปรับขึ้นค่าเช่าได้ตามเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้น ทั้งนี้แนะนำลงทุนในสินทรัพย์ทั้งในประเทศสิงคโปร์และไทย เพราะดัชนีระดับราคายังคง Laggard เมื่อเทียบกับ Global REITs และได้รับประโยชน์จากการเปิดเมืองและการเปิดประเทศ ในส่วนการลงทุนในตราสารหนี้เน้นลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตมากกว่าคาดหวังในผลตอบแทนที่สูง โดยแนะนำลงทุนในกลุ่มที่มีอายุการลงทุนที่สั้น (Short Duration) และกลุ่ม High Yield ซึ่งมีผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากส่วนต่างเครดิต สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งน้ำมันและทองคำนั้น ยังคงได้รับแรงกดดันจากสภาพคล่องในระบบที่ลดลง ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีโอกาสปรับขึ้นอย่างจำกัด โดยในเชิงกลยุทธ์ ขอแนะนำ 3 ธีมหลักที่น่าสนใจ ได้แก่


         1. ธีมกำไรที่แข็งแกร่ง เนื่องจากมีอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงทำให้สามารถเปิดประเทศได้เร็ว โดยเฉพาะในสหรัฐฯและยุโรปที่รัฐบาลยังคงมีกระสุนจำนวนมากในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่องจากการใช้นโยบายการคลังขนาดใหญ่ ทำให้คาดการณ์กำไรปี 2565 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Growth ที่มีการขยายตัวของอัตรากำไร (Profit margin) อย่างต่อเนื่องในช่วงโควิดที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยอาจทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น แต่ด้วยระดับ Margin ที่มีอยู่สูง จะเป็นปัจจัยรองรับที่ทำให้การเติบโตของกำไรโดยรวมสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปได้ โดยเน้นลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ในขณะที่ความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีนิติบุคคลก็หายไป ภายหลังข้อเสนอการปฏิรูปภาษีที่เน้นไปที่การเก็บภาษีเพิ่มเติมจากรายได้นอกประเทศของภาคธุรกิจและผู้มีรายได้สูงแทน ซึ่งทำให้บริษัทกลุ่ม IT&TECH ในสหรัฐฯ มีการคาดการณ์กำไรที่ดีขึ้น ส่วนตลาดหุ้นยุโรปก็มีความน่าสนใจ โดยมีการปรับเพิ่มประมาณการณ์กำไรปี 2565 ขึ้น และระดับราคามูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ยังไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย PE ในอดีต

         2. ธีมฟื้นตัวจากภายใน ในปี 2564 ที่ผ่านมาผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) ค่อนข้างที่จะ Underperform เมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว เนื่องจากมีความเสี่ยงจากการปิดประเทศและปัญหาการขาดแคลน Supply นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องการกระจายฉีดวัคซีนทำให้เปิดประเทศได้ช้ากว่า อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2565 ปัญหาต่าง ๆ จะเริ่มคลี่คลาย และการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศจะเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก โดยตลาดหุ้นที่สอดรับกับมุมมองดังกล่าว ได้แก่ ตลาดหุ้นจีน A-Shares ซึ่งคาดว่าในปี 2565 จีนจะกลับมาใช้นโยบายที่ผ่อนคลายขึ้น โดยเลือกลงทุนในหุ้นจีน A-Shares มากกว่า H-Shares เนื่องจาก H-Shares ยังมีความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) และความเสี่ยงเรื่องของการกำกับดูแล (Regulatory) และมูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ของตลาดหุ้นจีน A-shares ได้ปรับลดลงมาจนอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ถึงแม้ว่าการระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์ Omicron ที่ทำให้รัฐบาลจีนยังต้องดำเนินนโยบายปิดประเทศต่อไป แต่กำลังซื้อของประชาชนในประเทศที่มีจำนวนมหาศาล จะทำให้การบริโภคในประเทศเติบโตได้ต่อเนื่อง ส่วนอีกหนึ่งตลาดที่มีความน่าสนใจคือ ตลาดหุ้นเวียดนาม โดยคาดว่าเศรษฐกิจเวียดนามยังโตได้ต่อเนื่องจากเม็ดเงินจากเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่แข็งแกร่ง และโครงสร้างประชากรที่เป็นวัยแรงงานและการขยายของขอบเขตเมือง (Urbanization) ซึ่งจะเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญต่อการเจริญเติบโตระยะยาวของประเทศ และจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้การบริโภคภายในประเทศกลับมาฟื้นตัวได้

         3. ธีมการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี โดยเน้นการลงทุนใน Thematic ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่สูง และมีอัตราการเติบโตของกำไรดีกว่าหุ้นโลกโดยรวม ซึ่งการลงทุนใน Thematic จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนระยะยาวจาก Core Portfolio และนักลงทุนสามารถเข้าร่วมใน Mega Trend ของโลกจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยแนะนำกลุ่ม Robotics เป็นเทคโนโลยีที่เพิ่มขีดจำกัดความสามารถของมนุษย์ ซึ่งใช้ในภาคอุตสาหกรรมและการบริการ เนื่องจากช่วยลดต้นทุนการผลิต มีความได้เปรียบด้านความยืดหยุ่น ความคล่องตัว และความสะดวกในการใช้งาน นักวิเคราะห์คาดว่าในช่วงปี 2564 – 2568 การเติบโตของอุตสาหกรรม Robotic จะขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี โดยมีปัจจัยหนุนจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (5G) และอีกหนึ่งกลุ่มคือ Semiconductor ซึ่งมีความต้องการมากขึ้นจากการเติบโตของเทคโนโลยี โดยตลาด Memory Chips ทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะเป็นชิ้นส่วนสำคัญของการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายประเภท ทั้งยังได้ถูกนำมาใช้ในโครงข่าย Wireless, 5G, Internet of Thing, ด้านการแพทย์ และด้านการทหารอีกด้วย นักวิเคราะห์คาดว่าในช่วงปี 2563 - 2567 รายได้จาก Semiconductors ทั่วโลกจะเติบโตเฉลี่ยประมาณ 7.3% ต่อปี นอกจากนี้คาดว่าในปี 2565 ปัญหา Supply Disruption จะเริ่มมีแนวโน้มผ่อนคลายลงหลังจากหลายประเทศทั่วโลกเริ่มกลับมาเปิดเมือง และทำให้ผู้ผลิตสามารถกลับมาผลิตและส่งออกชิ้นส่วนได้เพิ่มขึ้น

         อย่างไรก็ตามการลงทุนใน Thematic เป็นการลงทุนระยะยาว และเป็นหุ้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือ High Growth และ High PE ทำให้ในช่วงสภาพคล่องในตลาดลดลง อาจะได้รับผลกระทบบ้างในระยะสั้น แต่ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานและความสามารถในการเติบโตที่แข็งแกร่ง มองว่าเป็นโอกาสในการสะสมเพิ่มเติม

         

 

โดย  คุณณรงค์ศักดิ์  ปลอดมีชัย​
        ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
        บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด​