Money DIY 4.0 by SCBAM : ‘ราคาน้ำมัน’ กับ ‘การลงทุนในตลาดหุ้นไทย’

30 พฤศจิกายน 2565

          แนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกในปี 2565 แกว่งตัวผันผวนมาก ซึ่งหากได้พิจารณาราคาน้ำมันดิบ Brent จะพบว่ามีการปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกจากระดับ 78 เหรียญต่อบาร์เรล ขึ้นไปทำจุดสูงสุดในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2565 ที่ระดับ 139 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งสูงสุดในรอบ 14 ปี ตอบรับกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยืดเยื้อและรุนแรงมากขึ้น อีกทั้งประเทศในกลุ่มตะวันตกต่างออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียในหลายรูปแบบ ส่งผลให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น หนุนผลประกอบการของกลุ่มพลังงานต้นน้ำและกลุ่มโรงกลั่นในช่วง 2Q65 อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก (ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น ค่าการกลั่นขึ้นต่อเนื่อง และมีบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมัน) ขณะที่ผลประกอบการของกลุ่มปิโตรเคมีในช่วงครึ่งปีแรกอ่อนแอจากส่วนต่างปิโตรเคมีที่แคบลง เนื่องจากต้นทุน Gas และราคาแนฟทา(Naphtha) ที่ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมัน หากแต่ราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังไม่เด่นนัก ถัดมาในช่วง 3Q65 น้ำมันได้มีการย่อตัวลง โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับฐานลงสู่จุดต่ำสุดบริเวณ 83 เหรียญในช่วงเดือนกันยายน ของปี 2565 โดยได้รับปัจจัยกดดันหลักจากความกังวลอุปสงค์น้ำมันดิบโลกที่ชะลอตัว ตามความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก หลังจากธนาคารกลางทั่วโลกมีการปรับนโยบายดอกเบี้ยขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อในทุกประเทศที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงมากเป็นประวัติการณ์ ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจหลักที่สำคัญของโลก ทั้งสหรัฐฯ, จีน และยุโรปอ่อนแอลง

          ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2565 และต่อเนื่องไปถึง 1Q66 เราคาดว่าแนวโน้มราคาพลังงานจะทรงตัวในระดับสูงในกรอบ 85-100 เหรียญต่อบาร์เรล โดย EIA ได้ออกมาคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบโลกปี 2566 เฉลี่ยที่ 95 เหรียญต่อบาร์เรล และ BofA คาดที่ 100 เหรียญต่อบาร์เรล จากความต้องการพลังงานตามฤดูกาลที่สูงขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว แม้ว่าอุปสงค์จากจีนยังอ่อนแอจากการดำเนินนโยบายที่เข้มงวดด้านการควบคุมโรค แต่ก็เชื่อว่าผลสุทธิแล้วความต้องการน้ำมันโดยรวมยังคงเป็นบวก ประกอบกับภาวะอุปทาน ณ ปัจจุบันที่ไม่ได้เร่งตัวขึ้นมาก โดยหากพิจารณาจากกำลังการผลิตสำรอง (Spare Capacity) ของกลุ่ม OPEC+ จะเห็นได้ว่าอยู่ในจุดที่จำกัดมากแล้ว ซึ่งล่าสุดก็ส่งผลให้ทางด้านกลุ่ม OPEC+ ได้มีมติในการปรับลดกำลังการผลิตของน้ำมันดิบในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 มากถึง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดือนตุลาคมที่มีมติลดกำลังผลิตเพียง 1 แสนบาร์เรลต่อวัน ดังนั้น จึงยังประเมินว่าราคาน้ำมันดิบยังสามารถทรงตัวได้


          จากแนวโน้มของราคาน้ำมันดิบที่คาดว่ายังทรงตัวสูงได้จนถึงช่วง 1Q65 อาจจะส่งผลบวกต่อการเก็งกำไรในกลุ่มพลังงานต้นน้ำมากขึ้น ส่วนทางด้านกลุ่มโรงกลั่นที่แม้จะถูกกดดันในช่วงสั้นๆ จากผลประกอบการที่อ่อนแอในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา จากค่าการกลั่นที่ชะลอตัวลง ผนวกกับการบันทึกขาดทุนสต๊อกน้ำมัน (stock loss) แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรจะกลับมาฟื้นตัวในช่วง 4Q65-1Q66 ส่วนทางด้านหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี ยังคงต้องจับตาความต้องการในการใช้ปิโตรเคมี โดยกว่า 40% ของอุปสงค์โลกมาจากประเทศจีน ที่ปัจจุบันมีการชะลอตัวลงเรื่อยๆ ทำให้ส่วนต่างของปิโตรเคมี (Petrochemical spread) ในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำ (หลายบริษัทยังต่ำกว่าจุดคุ้มทุน) ซึ่งเรายังต้องรอความชัดเจนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงจับตาท่าทีการดำเนินนโยบายต่างๆของรัฐบาลจีน ที่จะเป็นจุดสำคัญที่บ่งชี้ว่า จีนกำลังจะกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีกครั้งเมื่อไหร่ โดยถ้าเห็นสัญญาณดังกล่าว ถือเป็นจังหวะที่ดีในการกลับเข้าไปสะสมหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีอีกครั้ง

          ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันเป็นต้นทุนสำคัญ อาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่ก็เชื่อว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้ถูกกดดันมากนัก เช่น กลุ่มขนส่ง เนื่องจากภาวะการท่องเที่ยวทั่วโลกกำลังกลับมาฟื้นตัวอย่างโดดเด่น และหนุนยอดการจองตั๋วเครื่องบินอยู่ในระดับสูงและราคาตั๋วก็มีการปรับขึ้นสอดคล้องกับอุปสงค์เช่นกัน ดังนั้น จะสามารถชดเชยกับต้นทุนพลังงานที่ปรับขึ้นได้ หรือแม้แต่ในส่วนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ที่เริ่มเห็นสัญญาณของความต้องการสินค้าต่างๆ ที่สูงขึ้น ตามเศรษฐกิจโลกที่ยังดำเนินต่อไป ก็จะช่วยให้รายได้ของกลุ่มโลจิสติกส์กลับมาอยู่ในเกณฑ์ดี ด้านกลุ่มวัสดุก่อสร้างเอง ก็มีการใช้ต้นทุนพลังงานในสัดส่วนที่สูงเช่นกัน แต่เราก็เชื่อว่าความต้องการสินค้าทั้งจากการซ่อมแซมบ้านในช่วง 4Q65-1Q65 จะทำให้อัตราการทำกำไรของกลุ่มนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ดี และยอดขายยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ทำให้จังหวะย่อตัวมองเป็นโอกาสในการทยอยสะสม

          จะเห็นได้ว่าในภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มที่ดี และยังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วงปี 2566 จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าในปี 2566-2567 จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 20 ล้านคน และ 40 ล้านคนตามลำดับ ซึ่งจากที่เศรษฐกิจประเทศไทยมีความพึ่งพิงกับการท่องเที่ยวค่อนข้างสูง ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลบวกกับตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดประเทศ เช่น กลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มขนส่งเป็นต้น

 

โดย คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย​
        ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร​
        บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด