Hot Issue ตอน Fed ย้ำจุดยืนการเงินตึงตัว เพื่อคุมเงินเฟ้อ

22 กันยายน 2565

         ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ มีมติขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 75bps ตามตลาดคาด พร้อมทั้งออก Dot Plot มองดอกเบี้ยนโยบายไประดับสูงสุดที่ 4.6% ในปี 2023 ก่อนจะทยอยเริ่มลดดอกเบี้ยในปี 2024 นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของประธาน Fed ยังย้ำจุดยืนเดิมตั้งแต่การประชุม Jackson Hole ที่จะโฟกัสการดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวต่อเนื่องเพื่อคุมเงินเฟ้อ แม้ต้องแลกมากับการที่เศรษฐกิจถดถอยลงก็ตาม ทั้งนี้ เราประเมินว่าผลการประชุมดังกล่าวแสดงถึงแนวโน้มนโยบายการเงินตึงตัวมากกว่าตลาดคาด ส่งผลให้ราคาของสินทรัพย์การลงทุน มีความผันผวนและใช้เวลาในการปรับตัวเพื่อซึมซับทิศทางดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม เราจึงมีมุมมองระมัดระวังมากขึ้น โดยเน้นลงทุนกลุ่มสินทรัพย์เชิงรับท่ามกลางความผันผวนที่สูงขึ้น  

สถานการณ์

  • ผลการประชุม Fed มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ย 75bps ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ล่าสุด อยู่ที่ระดับ 3.00-3.25% สูงสุดตั้งแต่วิกฤติปี 2008
  • แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (Fed Dot Plot) ชี้ว่า Fed มีแนวโน้มจะขึ้นดอกเบี้ยไปที่ 4.4% จากครั้งก่อนที่ 3.4% ในสิ้นปีนี้และขึ้นดอกเบี้ยไประดับสูงสุดที่ 4.6% จากที่ 3.8% ในปีหน้า 2023 ก่อนเริ่มลดดอกเบี้ยอีกครั้งในปี 2024
  • ถ้อยแถลงของประธาน Fed ยังย้ำจุดยืนเดิมตั้งแต่การประชุม Jackson Hole ที่มุ่งเน้นการดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวต่อเนื่องเพื่อคุมเงินเฟ้อ โดยเริ่มแบ่งรับแบ่งสู้ต่อความเสี่ยงการเกิดเศรษฐกิจถดถอย (Recession) นอกจากนี้ Fed มีการปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้ลงเหลือเพียง +0.2% จากเดิมที่ +1.7% และคาดการณ์เงินเฟ้อจะปรับลงเข้าสู่ระดับเป้าหมายในปี 2025

มุมมองการลงทุน

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงราว 1.70-1.80% โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเติบโตสูงและหุ้นเทคโนโลยี ด้าน Dollar Index แข็งค่ามาที่ระดับ 111 จุด  กดดัน US Treasury 2Y Yield เด้งขึ้นสู่ระดับ 4.0% บ่งชี้แนวโน้ม Fed ดำเนินนโยบายการเงินตึงตัว
  • เราประเมินว่าผลการประชุมดังกล่าวแสดงถึงแนวโน้มนโยบายการเงินตึงตัวมากกว่าตลาดคาด โดยความแตกต่างที่สำคัญ คือ ช่วงเวลาของการกลับมาลดดอกเบี้ยอีกครั้งที่ Dot Plot แสดงแนวโน้มว่า จะเกิดขึ้นในปี 2024 ขณะที่ความคาดหวังของตลาดผ่าน FedWatch Tool บ่งชี้แนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า (2023) ส่งผลให้ราคาของสินทรัพย์การลงทุนต่างๆ มีความผันผวนและปรับตัวเพื่อซึมซับทิศทางดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม เราจึงมีมุมมองระมัดระวังมากขึ้น โดยเน้นลงทุนกลุ่มสินทรัพย์เชิงรับท่ามกลางความผันผวนที่สูงขึ้น

คำแนะนำ
 


         

  • สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูง จังหวะที่ราคาหุ้นย่อตัวลงมา อาจหาจังหวะเข้าสะสมเพื่อ Trading หุ้นสหรัฐฯ ที่เติบโตสูงหรือกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น SCBNDQ(A), SCBEV(A), SCBCLEANA
  • การลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำลงทุนกลุ่มหุ้นที่ผลการดำเนินงาน สามารถทนทานต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้ดี เช่น กลุ่ม Health Care กองทุนแนะนำ SCBGHCA หรือกองทุน Low Volatility คือ SCBLEQA

 

          

แนะนำลงทุนกลุ่มหุ้นที่มีลักษณะเชิงรับ (Defensive) ซึ่งมีผลการดำเนินงาน สามารถทนทานต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้ดี เช่น กลุ่ม Health Care กองทุนแนะนำ SCBGHCA หรือกองทุน Low Volatility คือ SCBLEQA

 

กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้าเงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และขอรับหนังสือชี้ชวน ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขา หรือ บลจ.ไทยพาณิชย์ โทร. 02-777-7777 กด 0 กด 6 www.scbam.com