ปัจจุบันสินทรัพย์ที่มีการปรับตัวทางด้านราคาขึ้นสูงที่สุดก็คือ ทองคำ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และมักปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในเวลาที่ตลาดมีความผันผวนหรือยามเกิดวิกฤตต่างๆ แต่ในทางกลับกันเสียงส่วนใหญ่จากนักวิเคราะห์ทั่วโลก มองว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะมีการพัฒนาที่ดีกว่าช่วงปีก่อนๆ สำหรับตราสารหนี้ก็มีการปรับตัวลดลงของอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Bond Yield) สหรัฐฯ ในช่วงสั้นๆ ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้วในปีนี้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยเหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่านักลงทุนไม่มั่นใจว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาวควรจะขึ้นจากระดับปัจจุบัน ซึ่งอาจต่อเนื่องมาจากความไม่เชื่อมั่นในภาพการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว รวมถึงการปรับตัวลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี ซึ่งขัดกับการคาดการณ์ที่ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะช่วยส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับมุมมองทางด้านเศรษฐกิจ ตลาดตราสารทุนหรือตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นในตลาดประเทศที่พัฒนาแล้วหรือตลาดประเทศเกิดใหม่ก็มีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในระดับ 5-8% ถึงแม้ว่าในช่วงสั้นๆ ที่ผ่านมาจะมีการปรับตัวลดลงบ้าง แต่โดยรวมแล้วการปรับตัวที่เพิ่มสูงขึ้นยังเป็นรองแค่ทองคำเท่านั้น ซึ่งสิ่งที่น่าสังเกตคือ เหตุผลในการปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์ทั้งสองประเภทเป็นมุมมองต่อภาพรวมเศรษฐกิจที่ตรงข้ามกัน
ในส่วนของค่าเงินตลาดประเทศเกิดใหม่ โดยรวมแล้วก็แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มตลาดประเทศเกิดใหม่ และความมั่นใจในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น
ในระยะสั้น ผมมองว่าเราน่าจะได้เห็นความผันผวนที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจัยทางด้านบวก (Upside) ของตลาดตราสารหนี้จากระดับปัจจุบันอาจจะมีไม่สูงมากนัก โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรืออัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ในตลาดจะลดต่ำกว่านี้มีความเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำ ถ้ามองในฐานะนักลงทุน ผลตอบแทนที่ได้รับจากตราสารหนี้เมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ต้องเผชิญอาจจะดูไม่ค่อยคุ้มค่า ในขณะเดียวกันตลาดหุ้นที่ราคาขึ้นไปค่อนข้างสูงแล้ว ผมมองว่ามีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลงเพื่อปรับสมดุลกับอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่จะเพิ่มสูงขึ้น
กลยุทธที่ผมขอแนะนำในปัจจุบัน คือ การลดความผันผวนจากการลงทุน โดยสามารถกระทำได้โดย
การลงทุนมิใช่เรื่องยากครับเพียงแค่ต้องมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมเท่านั้น ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการลงทุน และพบกันใหม่ฉบับหน้าครับ สวัสดีครับ
โดย คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย
กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด